SOPON’S BLOG
“สุขมากขึ้น ร่ำรวยขึ้น และสงบมากขึ้น” : เปิดประสบการณ์ ‘No Spend Year’ ของนักข่าวฟรีแลนซ์ที่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือยกับปี 2024 ที่ตัดค่าใช้จ่ายเหลือแค่ที่จำเป็น
November 28, 2024
ด้านมืดของ ‘บริโภคนิยม’ จากสารคดี ‘Buy Now! The Shopping Conspiracy’ มนุษย์โหมบริโภค โลกจึงกลายเป็นกองขยะ
November 27, 2024
อย่าให้สังคมกำหนดว่าเรา ‘ต้องมีอะไร’ ถึงจะมีความสุข
November 27, 2024
แม้ไม่มีรายได้ แต่รายจ่ายมีทุกวัน : 5 อย่างที่ต้องเตรียมพร้อมด้านการเงิน เมื่อตลาดแรงงานไม่มั่นคง
November 27, 2024
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่วางหินวันละก้อน
November 26, 2024
Facebook Twitter Youtube Instagram Medium Bootstrap
SOPON’S BLOG

Type and hit Enter to search

  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Tech
    • Business
    • Thoughts
    • Science
    • Startups
    • Lifehack
    • People
    • Travel
    • Inspiration
  • Podcast
  • About
  • Contact
  • Follow
    • Facebook
    • Twitter
    • Instagram
    • Blockdit
    • Telegram
BooksReviewWhat to Read

‘พลังของความเสียดาย’ : เล่มนี้จะ ‘เสียดาย’ ถ้าไม่ได้อ่าน

sopons
October 29, 2022 2 Mins Read
612 Views
0 Comments

“No Regrets” (ไม่เสียดาย)

คำนี้เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็น เคยได้ยิน หลายคนถึงขั้นยึดเป็นคติประจำใจ หลักการชีวิต (ผมเคยเป็นหนึ่งในนั้น) ให้มุ่งมองไปข้างหน้าโดยอย่าไปสนใจอดีตที่ผ่านมา

แต่ถ้าจะบอกว่าแนวทางชีวิตหรือการมองโลกแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องซะทีดีเดียวหล่ะ?

นั่นเนื้อหาในหนังสือ ‘The Power of Regret’ (พลังแห่งความเสียดาย) ที่พยายามจะบอกเราครับ และหลังจากที่ผมอ่านจบก็พบว่าตัวเองมอง ‘ความเสียดาย’ ในชีวิตในอีกมุมหนึ่งเลย

[ด้านล่างมี spoil]


ความผิดหวังไม่ใช่เรื่องที่ผิด ตราบเท่าที่มีมนุษย์บนโลกใบนี้มันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นธรรมชาติ และถ้าเราปรับวิทีการที่เรามองมันอย่างถูกต้อง รู้จักวิธีใช้มันให้เป็นประโยชน์ มันก็สามารถขับเคลื่อนเราไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ทั้งในเรื่องชีวิตส่วนตัว การทำงาน และการบรรลุเป้าหมายในอนาคต

เช้าวันหนึ่งในปี 1888 อัลเฟรด โนเบล ตื่นขึ้นมาพร้อมข่าวร้ายเกี่ยวกับตัวเขาเอง

หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสได้ลงข่าวหน้าหนึ่งเป็นภาพขาวดำบอกว่าอัลเฟรดเสียชีวิตแล้ว ซึ่งก็ไม่มีทางเป็นความจริงได้เพราะเขาก็ยืนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตอนนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นคือนักข่าวเขียนข่าวพลาด สลับกันระหว่างพี่ชายของอัลเฟรดที่ชื่อลูดวิกต่างหากหล่ะที่เสียชีวิต แต่ข่าวก็ตีพิมพ์ออกมาแล้ว

สำหรับอัลเฟรดแล้วการยังมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องน่ายินดี แต่หลังจากอ่านพาดหัวข่าววันนั้นก็เพิ่งเข้าใจว่าคนอื่นคิดกับเขาในทางที่ไม่ดีสักเท่าไหร่

หนังสือพิมพ์พาดหัวว่า ‘พ่อค้าความตายถึงแก่ความตายแล้ว’

พาดหัวข่าวมรณกรรมได้ประณามอัลเฟรดในการประดิษฐ์ไดนาไมต์และวัตถุระเบิดอื่น ๆ ที่ฆ่าคนมากมาย และธุรกิจนี้ก็ทำให้เขาร่ำรวยมหาศาล คนอื่นมองเขาว่าเป็นคนหิวเงิน ผิดศีลธรรม สะสมทรัพย์สมบัติบนความทรมานของคนอื่น

อัลเฟรดไม่ชอบสิ่งที่เขาเห็นเลย เขารู้สึก “เสียดาย” ที่ใช้ชีวิตมาแบบนี้ แต่เขาไม่จมจ่อกับความรู้สึกแย่ ๆ นานนัก (อย่างที่เราหลายๆ คนทำ) อัลเฟรดใช้ความเสียดายเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป

แปดปีต่อมา เมื่ออัลเฟรดเสียชีวิตจริงๆ อัลเฟรดถูกจดจำในฐานะผู้ใจบุญที่ช่วยพัฒนามนุษยชาติให้ดีขึ้น

เขาได้มอบมรดกทรัพย์สมบัติเพื่อสร้างชุดรางวัลเพื่อมอบให้กับผู้ที่สร้าง “ผลประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษยชาติ” ในแต่ละปี ซึ่งก็คือ “รางวัลโนเบล” นั่นเอง

ข่าวมรณกรรมที่สร้างความ ‘เสียดาย’ ทำให้เขาคิดทบทวนและเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่เหลือ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม

แน่นอนว่าอัลเฟรดไม่ใช่คนเดียวที่เคยเผชิญกับความรู้สึก ‘เสียดาย’ ที่จริงแล้วมันเป็นหนึ่งในอารมณ์ที่พบบ่อยที่สุด

จากการสำรวจ 4,489 คนทั่วสหรัฐอเมริกาพบว่าคนอเมริกันมีแนวโน้มที่จะรู้สึกเสียดายบ่อยกว่าความถี่ในการใช้ไหมขัดฟันซะอีก

(เชื่อว่าถ้าทำแบบสำรวจทั่วโลกก็คงไม่ต่างกันนัก)

มีเพียง 1% จากคนที่ตอบแบบสอบถามเท่านั้นที่บอกว่าพวกเขาไม่เคยมองย้อนกลับไปและหวังว่าจะทำอะไรที่ต่างออกไปในชีวิตที่ผ่านมา พูดอีกอย่างคือมีเพียง 1 ใน 100 ที่บอกว่าไม่เคยเสียดายและไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรในอดีตเลย (ความอยากไม่ได้หมายถึงไม่พอใจในปัจจุบันนะ แต่อยากแก้ไข อยากทำให้มันดีขึ้น เสียดายที่ทำอะไรลงไป)

มนุษย์มีความสามารถอย่างหนึ่งที่พิเศษ นั่นคือเราเป็น ‘นักเล่าเรื่องที่เดินทางข้ามเวลา’ ครับ

สมองเราสามารถย้อนเวลาไปในอดีตและสร้างเรื่องราวทางเลือกใหม่ขึ้นมาได้ เป็นเส้นทางสมมติที่ไม่มีทางเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “การคิดสวนทางกับความเป็นจริง” ครับ

ยกตัวอย่าง เอ็มม่า โจแฮนสัน นักกีฬาปั่นจักรยานโอลิมปิกที่ได้เหรียญเงินในปี 2016 ที่ริโอเดจาเนโร หลังจากเข้าเส้นชัยแล้ว เธอก็เดินไปกอดสามีและขึ้นรับเหรียญด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพึงพอใจสักเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก เหรียญเงินโอลิมปิกเลยนะ แต่ด้วยปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่าการคิดสวนทางกับความเป็นจริงนี่แหละครับที่ทำให้เธอเป็นแบบนั้น

อันที่จริงคนที่ได้เหรียญเงินหรืออันดับสองจะรู้สึกแย่กว่าอันดับสามด้วย (ตามสถิติ)

ในสมองของเอ็มม่าจินตนาการไปต่าง ๆ นานาเลย ‘ถ้าตอนนั้น’ ฉันอึดกว่านี้อีกสักหน่อย ถ้าเช้านี้พักผ่อนมากขึ้นอีก 30 นาที ถ้าก่อนหน้านี้ออกกำลังเพิ่มวันละ 1 ชั่วโมง ฯลฯ ฉันต้องได้เหรียญทองอย่างแน่นอน

ส่วนในสมองของคนที่ได้ที่สามจะคิดว่า ‘อย่างน้อย’ ก็ได้เหรียญนะ น่าพอใจแล้ว ยิ้มแย้มสดใส

เอมม่าจะได้เหรียญทองรึเปล่าถ้าทำในสิ่งที่เธอคิด? ไม่มีใครรู้หรอกครับ นี่คือเหตุผลที่มนุษย์รู้สึก ‘เสียดาย’ เพราะเราติดอยู่กับความคิดที่ว่า ‘ถ้าตอนนั้น’ แทนที่จะมองสิ่งที่คุณมีอยู่ในตอนนี้นั่นเอง

การหมกมุ่นอยู่กับคำว่า ‘ถ้าตอนนั้น’ ไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น (ลองคิดดูถ้าอัลเฟรดหมกมุ่นแล้วไม่เปลี่ยนแปลงก็คงไม่มีรางวัลโนเบล)


เพราะฉะนั้นเราสามารถรู้สึกเสียดายได้ครับ แต่จงใช้มันให้เกิดประโยชน์ในทางบวกที่ดีขึ้น มันสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีบางอย่างได้ มีความสำคัญต่อการเติบโตของเราด้วย เพราะมนุษย์มีอารมณ์ที่หลากหลาย ดีใจ โศกเศร้า กลัว ยินดี กังวล เสียดาย ฯลฯ

แน่นอนว่าโดยรวมแล้วอารมณ์เชิงบวกควรมีมากกว่าอารมณ์เชิงลบ แต่อารมณ์เชิงลบก็มีประโยชน์เช่นความกลัวก็ทำให้เราปลอดภัย หรือความขยะแขยงก็ทำให้เราไม่ทานอะไรแปลก ๆ และแน่นอนความเสียดายก็ช่วยให้เราเรียนรู้และเติบโตได้เช่นกัน

แล้วเราจะทำให้ ‘ความเสียดาย’ กลับมามีผลดีต่อชีวิตเราได้ยังไงหล่ะ?

  1. แก้ไขความเสียดาย : ยกตัวอย่างเช่นคุณพูดไม่ดีกับเพื่อน ตวาดใส่ลูก หรือ ไม่ได้คุยกับคนในครอบครัวมานานแล้วเพราะผิดใจกันบางอย่าง คุณรู้สึกเสียดายกับความสัมพันธ์ที่ครั้งหนึ่งเคยดี คุณแก้ไขความเสียดายนี้ได้ครับ มันยังไม่สายเกินไป
  2. มองว่า ‘อย่างน้อย’ : ที่จริงแล้วมันช่วยปลอบประโลมใจเราได้มากเลย บางคนเสียดายที่ใช้เวลาไปเรียนตั้งสี่ปีแต่ไม่ได้ใช้วิชาที่เรียนมาทำงานเลย แต่ ‘อย่างน้อย’ ตอนนั้นคุณก็ได้พบกับแฟนที่แต่งงานแล้วมีลูกด้วยกันจนเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ชีวิตไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ถ้าคุณเลือกมองด้านที่ดีของมัน
  3. วิเคราะและวางแผน : นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของความเสียดายครับ คุณต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเรียนรู้อะไรจากมันได้บ้าง และคุณจะทำยังไงต่อไปจากนี้?

ลองมาดูตัวอย่างในหนังสือที่น่าสนใจ

ย้อนกลับไปปี 1988 และบรูซวัย 22 ปี หนุ่มชาวอเมริกันนั่งบนรถไฟที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสตอกโฮล์มหลังจากไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งปี

ประตูรถไฟเปิดออกที่ป้ายระหว่างทาง หญิงสาวชาวเบลเยียมชื่อแซนดร้าก้าวขึ้นมาบนรถและนั่งถัดจากเขา หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มคุยกัน เธอเป็นออแพร์ที่ทำงานในปารีสและกำลังกลับบ้านเพื่อพักผ่อนช่วงสั้นๆ

ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างถูกคอ หัวเราะ เล่นเกมแฮงค์แมน และไขปริศนาอักษรไขว้ ราวกับว่ารู้จักกันมาทั้งชีวิต ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ใจเขาเต้นเร็วแรงตลอด แต่แล้วขณะที่รถไฟแล่นผ่านเบลเยียม แซนดร้าก็ยืนขึ้นและพูดว่า “ฉันต้องไปแล้ว”

บรูซต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ : จะอยู่บนรถไฟต่อและพลาดโอกาสความรักครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา หรือลงจากรถแล้วลองดูว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไปทางไหนต่อดีหล่ะ

สุดท้ายเขาตัดสินใจเลือกอยู่บนรถไฟ บรูซและแซนดร้าจูบลาช่วงเวลาแห่งความรักอันแสนสั้น ประตูรถไฟเปิดและปิดลง และแซนดราออกจากชีวิตของบรูซไปตลอดกาล

บรูซรู้สึกเสียดายกับการตัดสินใจของเขาตั้งแต่นั้นมา 40 ปีต่อมา เขายังคงบอกว่าการไม่ลงจากรถไฟคือความเสียดายครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา “ผมไม่เคยพบเธออีกเลย และผมก็หวังอยู่เสมอว่าผมได้ก้าวลงจากรถไฟขบวนนั้น”

หลังจากเหตุการณ์นั้นบรูซอาจจะเลือกหมกมุ่นอยู่กับอดีต หรือเลือกที่จะวิเคราะและวางแผนต่อไปก็ได้ ถ้าเลือกทางแรกเขาก็จะติดอยู่กับอดีตไม่ไปไหน แต่ถ้าเลือกทางที่สองเขาก็สามารถเรียนรู้ได้แล้วว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ต้องตัดสินใจแบบนี้อีกครั้ง เขาควรก้าวไปข้างหน้า กล้าที่จะเสี่ยงมากขึ้น ทำตาที่หัวใจบอกอย่างไม่ลังเล

(ในหนังสือมีตัวอย่างอีกเยอะมากแต่ละอันก็น่าสนใจทั้งนั้น อันนี้แนะนำอ่านเพิ่มกันได้ครับ)


การตระหนักว่าเราเคยทำผิดพลาด เสียดายทางเลือกที่ไม่ดีเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโต เพราะหากสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นอีกในอนาคตเราจะไม่ทำผิดพลาดเหมือนเดิมอีก (ถ้าเราได้คิดและวิเคราะห์แล้วนะครับ)

ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกเสียดายกับอะไรบางอย่าง ถ้ามีคำที่บอกว่า ‘ถ้าตอนนั้น’ เกิดขึ้นในหัว หยุดและถามตัวเองว่า คุณได้เรียนรู้อะไรจากความเสียดายที่เกิดขึ้นบ้าง ใช้มันเป็นตัวเร่งให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น จำไว้ว่าความเสียดายในตัวมันเองไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แถมยังมีโอกาสที่จะเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกได้ด้วย ดังนั้นอย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าชีวิตไม่ควร ‘เสียดาย’ เพราะมันเปลี่ยนชีวิตเราได้จริง ๆ ครับ

เราไม่จำเป็นต้องลืมอดีต หรือพยายามซ่อนความเสียดายเหมือนมันเป็นตราบาปในชีวิต เพราะยังไงเราก็ไม่มีทางลืมความเสียดายนั้นได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะเรียนรู้อะไรจากความเสียดายครั้งนั้น แล้วทำให้ชีวิตของเราตอนนี้ดีขึ้นได้ยังไงมากกว่า

ถ้าไม่เชื่อ ลองอ่านหนังสือ ‘พลังของแห่งความเสียดาย’ ดูก็ได้ครับ แล้วจะ ‘เสียดายที่ไม่ได้อ่านให้ไวกว่านี้’

Tags:

Booksdaniel pinkinspirationreviewwelearnความเสียดายติดอยู่กับอดีตทำยังไงถึงลืมอดีตได้บทความสร้างแรงบันดาลใจหนังสือเสียดายกับอดีตที่ผ่านมาแรงบันดาลใจโสภณชวนอ่าน

Share Article

Follow Me Written By

sopons

Writer / Columnist (Salmon Books, 101.world, The Matter, Beartai, The People, a day Bulletin, CapitalRead, GQ, Billion Brands)

Other Articles

Previous

ลงมือทำทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากลัว : สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่การไม่รู้ แต่เป็นการไม่รู้เพราะเราไม่กล้าลอง

Next

ตัวเราในอนาคตอาจจะไม่ใช่คนที่เราคิด : 3 คำแนะนำช่วยตัดสินใจให้ดี เมื่อเราไม่มีทางรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่

Next
November 2, 2022

ตัวเราในอนาคตอาจจะไม่ใช่คนที่เราคิด : 3 คำแนะนำช่วยตัดสินใจให้ดี เมื่อเราไม่มีทางรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่

Previews
October 27, 2022

ลงมือทำทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากลัว : สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่การไม่รู้ แต่เป็นการไม่รู้เพราะเราไม่กล้าลอง

No Comment! Be the first one.

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Posts

เมื่อโลกซึมเศร้า : หนังสือที่ว่าด้วยสัมพันธ์ระหว่างทุนนิยมและสุขภาพจิต

by sopons
August 20, 2021

กินอยู่ได้ @เชียงใหม่

by sopons
April 27, 2021

คนหนึ่งเห็นเป็นยุง อีกคนเห็นเป็นช้าง : เรื่องขี้ปะติ๋วบางอย่าง กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายของระเบิดอารมณ์

by sopons
October 3, 2022

ปริทัศน์ซีรี่ย์ YOU : เพื่อความรัก เรากล้าทำสิ่งนี้หรือเปล่า? (บทความมีการเปิดเผยเนื้อหา)

by sopons
October 26, 2021
SOPON’S BLOG

STUFF WORTH READING

© 2022, All Rights Reserved.

Quick Links

  • Contact
  • About

Category

  • Self-Improvement
  • Technology
  • Business
  • Thoughts
  • Psychology

Follow

Facebook Twitter Youtube Instagram
  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Business
    • Technology
    • Inspiration
    • Books
    • Life Style
    • Startups
    • Thoughts
    • Travel
  • About
  • Contact