ช่วงที่ผ่านมามีการพูดถึงสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่หน้าจอพับไปมาได้เป็นอย่างมาก ทั้ง Samsung, Huawei ที่เปิดตัวของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ยังมีอีกหลายแบรนด์อย่าง Motorola, Oppo, LG และ Xiaomi (บางแหล่งข่าวบอก Apple ก็อาจจะมีด้วยเช่นเดียวกัน) ต่างพากันยกขบวนขึ้นรถไฟสมาร์ทโฟนพับได้แห่งอนาคตอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในตอนแรกที่ได้ยินข่าวเมื่อประมาณสามสี่ปีก่อนว่าเทคโนโลยีชิ้นนี้กำลังถูกพัฒนา ทุกคนต่างคิดว่ามันจะเป็นไปได้ยังไงที่หน้าจอสมาร์ทโฟนจะพับไปมาได้ ครับ…ตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่ามันเป็นไปได้และกำลังออกสู่ท้องตลาด ตอนที่นั่งดูอีเว้นท์เปิดตัวของ Samsung ความรู้สึกแรกที่เข้ามาค่อนไปทางบวกและทึ่งในสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้า แต่ว่าพอผ่านไปได้สักพักหนึ่งก็รู้สึก…แปลกๆ รู้สึกเหมือนขนมที่ยังอบไม่เสร็จจากเตาแล้วรีบเอาออกมาเสิร์ฟเพราะกลัวร้านอื่นเอาออกมาขายก่อน ทั้งๆที่มันยังไม่เซ็ตตัวและสามารถทำได้ดีกว่านี้อย่างแรกคือต้องยกนิ้วให้กับพวกเขาที่นำเครื่องทดลอง Prototype ออกมาให้โชว์บนเวทีได้ขนาดนี้ (มีติดๆขัดๆบ้างเล็กน้อยแต่ก็พยายามมองข้ามไป) แต่เจ้าสมาร์ทโฟนที่อยู่ในมือนั้นเมื่อพับแล้ว โอ้โหว…มันหนาเป็นนิ้ว หน้าจอเมื่อพับเหลือประมาณ 4×5 นิ้ว รูปร่างมันเหมือนกับอะไรที่คล้ายคลึงกับขนมปังฮอตดอกจากร้านสะดวกซื้อ เมื่อกางออกมาเป็นหน้าจอ 8 นิ้ว ที่มีขอบรอบด้านที่หนาเทอะทะ มันดู…ไม่ค่อยเสร็จดีเท่าไหร่
แน่นอนว่าเจ้าส่ิงนี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ พวกเขากล้าและสามารถทำออกมาได้ถึงขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว มันยังอยู่ในช่วงพัฒนาและต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะไปถึงจุดที่ใช้งานได้อย่างจริงๆจังๆ เมื่อกางออกมาเราจะเห็นหน้าตาของ Android ใหม่ที่ถูกพัฒนาร่วมกันโดย Samsung กับ Android เพื่อใช้ประสิทธิภาพของหน้าจอ 8 นิ้วให้มากที่สุด สามารถดู YouTube แบบเต็มหน้าจอ แบ่งส่วนเป็นหน้าต่าง ดูวีดีโอด้านหนึ่งแล้วอีกด้านหนึ่งใช้อีกแอพพลิเคชั่น ดูวีดีโอไปด้วย แชทไปด้วย พิมพ์งานไปด้วย…อนาคตมนุษย์ชีวิตมีความ multitasking อย่างน่ากลัวเลยทีเดียว

Tale as old as Time
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนที่สมาร์ทโฟนกำลังอยู่ในช่วง Golden Age ก่อนที่โลกจะรู้จัก OLED หลายบริษัทได้พยายามสร้างอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับสองหน้าจอที่ (อารมณ์และความรู้สึก) คล้ายกับหน้าจอที่เชื่อมต่อกัน ตอนนั้นมี Microsoft Courier ที่ออกมาเรียกเสียงฮือฮาได้พักใหญ่ๆ ตัว prototype รูปร่างหน้าตาเหมือนกับสมาร์ทโฟนสองอันประกบกัน ด้านนอกไม่มีอะไร พอกางออกมาก็มีหน้าจอสกรีนสองอันที่ทำงานร่วมกันเป็นหน้าจอใหญ่อันเดียว (คุ้นๆ) ไม่นานนักหลังจากนั้น iPad ก็ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้เจ้า Courier นั้นกลายเป็นเพียงวิมานในอากาศและโปรเจคนั้นก็ถูก Microsoft ปิดตัวไปในที่สุด มีอีกตัวหนึ่งจาก Kyocera ในปี 2011 ชื่อว่า Echo หน้าตาคล้ายกับ Courier นั้นแหละครับ เจ้าตัวนี้เหมือนจะมีออกมาวางขาย แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ (ลองหารีวิวบน YouTube ได้ครับ)
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Samsung’s Infinity Flex Display นั้นเป็นเทคโนโลยีที่เหนือกว่าเจ้าก่อนหน้าหลายช่วงตัว แต่ถึงอย่างงั้นก็ตามทีแค่คิดว่ามีสกรีนสองอันในกระเป๋ากางเกงก็เริ่มทำให้รู้สึกทะแม่งๆชอบกล
หน้าจอขนาด 8 นิ้วนั้นใหญ่กว่าหน้าจอสมาร์ทโฟนปกติที่เราคุ้นเคยและคงไม่มีสมาร์ทโฟนรุ่นไหนที่จะไปถึงจุดนั้นได้ มันอยู่ในไซส์ของหมวดหมู่แทปเลต อาจจะเป็นขนาดเล็ก แต่ก็ถือว่าอยู่ในช่วงนั้น มันไม่ใหญ่พอที่จะทำให้สามารถทิ้งแลปท็อปไว้ที่บ้าน ซึ่งที่ผมใช้อยู่ก็ประมาณ 13 นิ้ว ถ้าเอาไปทุกอย่างตอนนี้ก็มีหน้าจอสามอัน ถ้ารวมไปถึง Apple Watch ด้วยก็กลายเป็นสี่หน้าจอ
คิดถึงสถานการณ์ตอนนี้ที่ต้องมีหน้าจอสี่อัน…แทบจะเลือกไม่ถูกเลยว่าต้องหน้าจอไหน ทางเลือกที่เยอะเกินไปแทนที่จะเร็วขึ้นบางครั้งก็ทำให้งานล่าช้าลง และไม่ใช่จริงหรือว่าที่เราต้องห่างหน้าจอให้มากขึ้นเพื่อใช้เวลากับคนรอบข้าง? มีงานวิจัยมากมายที่บ่งบอกว่าความสุขของเราลดลงถ้าใช้เวลาบนหน้าจอมากจนเกินไป
หรือถ้าจำเป็นจริงๆต้องใช้หน้าจอเหล่านี้ทั้งหมด ทำไมไม่ใช้แลปเล็ตเล็กๆอีกอันไปเลย หลายคนที่รู้จักก็ใช้วิธีนี้กัน นั้นอาจจะไม่สะดวกเท่ากับมีอุปกรณ์เดียวที่แปลงร่างไปมาระหว่างสมาร์ทโฟนกับแทปเลตได้ แต่เอาจริงๆนะ…จะมีผู้ใช้งานสักกี่คนที่พับไปพับมาตลอดเวลา?

The Limits of Technology
สิ่งหนึ่งที่ทำให้สมาร์ทโฟนพับได้มีขนาดที่หนาก็เพราะว่า OLED นั้นยังไม่สามารถทได้ขนาดนั้น จะทำให้มันเป็นรอยพับและสร้างความเสียหายต่อหน้าจอทันที อีกอย่างหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือน้ำหนักด้วยความหนาของตัวเครื่อง ใส่แบตเตอรี่ทั้งสองด้าน (ซึ่งเป็นเรื่องดี) ด้านหนึ่งอาจจะหนักกว่าด้านหนึ่งเพราะต้องรองรับหน้าจอด้านนอกเครื่อง
หน้าจอสองอันต่อกันนั้นสร้างความเป็นได้ที่ไม่รู้จบ อย่างที่ในเดโมที่เราทำงานอยู่บนหน้าจอเล็กๆ แล้วกางออกมาให้หน้าจอใหญ่ขึ้นและทำงานต่อได้เลย อย่างน้อยนั้นคือสิ่งที่เราคาดหวังว่าจะเกิดขึ้น ในโลกของความเป็นจริง…นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง การพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ทำงานเชื่อมต่อกันจากจอเล็กไปจอใหญ่แบบไม่สะดุดเลยต้องใช้แรงงานจากโปรแกรมเมอร์มากยิ่งขึ้น ต้องมีการรองรับหน้าจออีกหลายร้อยรุ่นของ Android และกว่าจะไปถึงจุดที่ทุกอย่างทำงานด้วยกันอย่างลงตัว คงอีกหลายปีเลยทีเดียว
หน้าจอที่พับงอได้นั้น ‘น่าจะ’ เป็นหนทางของอนาคต แต่ตอนนี้บอกตามตรงผมยังไม่ต้องใช้หน้าจอสองอัน โดยเฉพาะขนาดที่ไม่ใหญ่พอจะเป็นแทปเลตและไม่สามารถทดแทนแลปท็อปในการใช้งานของชีวิตประจำวันได้ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีความต้องการที่เหมือนกัน บางคนอาจจะบอกว่านี่แหละคือสิ่งที่เขาตามหามานานแสนนานก็เป็นได้
สุดท้ายแล้วนี่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้ตื่นเต้นกับเทคโนโลยีตรงนี้ มันยั่วยวนและน่าสนใจมาก เปิดโลกของความเป็นไปได้อีกมากมาย เมื่อสินค้าของจริงออกสู่ตลาดเราคงได้เห็นว่ามันจะเป็นขุมทองใหม่ของบริษัทสมาร์ทโฟนหรือเพียงก้าวของเทคโนโลยีที่จะถูกลืมเลือนในอนาคต