“ไทยชนะ” ชื่อนี้นำมาซึ่งความรู้สึกที่ป่วนหัวใจ
ไม่ใช่เพราะชื่อที่กำกวม เต็มไปด้วยคำถาม เราชนะใคร? ชนะอะไร? เรากำลังแข่งอะไรเหรอ? แต่เป็นความรู้สึกที่ไม่ว่าเดินไปที่ไหนในตอนนี้ก็ต้องเห็น QR Code ที่ต้องแสกนก่อนเข้าไปใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านตัดผม ร้านขนม ร้านกาแฟ ร้านขายยา ร้านข้าวแกง ถ้าอีกหน่อยมีติดหน้าหมู่บ้านให้แสกนก่อนเข้าก็คงไม่แปลกใจสักเท่าไหร่
ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องของความวุ่นวาย ควานหาสมาร์ทโฟนในกระเป๋าสะพายออกมาตลอดเวลา แต่มันเป็นการตั้งคำถามต่อเรื่องของข้อมูลความเป็นส่วนตัวซะมากกว่า เพราะหลายครั้งที่เข้าไปสถานที่เหล่านี้ถ้าไม่อยากยุ่งยากแสกน QR ก็ต้องเขียนชื่อและเบอร์ติดต่อ ซึ่งในมุมมองของความปลอดภัยแล้วข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็น แต่ในมุมมองของธุรกิจแล้วมันเป็นขุมทองมีมูลค่ามหาศาลเลยทีเดียว แถมยังมีเรื่องของความเป็นส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ข่าวที่ออกไปเมื่อไม่นานมานี้ที่พนักงานร้านสะดวกซื้อถือวิสาสะนำเบอร์ส่วนตัวของลูกค้าที่เขียนตอนเข้าร้านมาเพิ่มเพื่อนแล้วทักไปจีบเชิงชู้สาวนั้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเรื่องนี้ มันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลขั้นพื้นฐานที่ไม่ควรเกิดขึ้น หลายคนอาจจะบอกว่านี่มันเป็นการกระทำส่วนบุคคลและไม่ได้บ่งบอกถึงภาพใหญ่ทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญที่อยากสื่อก็คือเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูลที่เข้าถึงได้โดยง่าย ขนาดพนักงานสะดวกซื้อก็ยังเอาไปได้ แล้วนับประสาอะไรกับผู้มีอำนาจทั้งภาครัฐและเอกชนถ้าพวกเขาต้องการข้อมูลเหล่านี้? แล้วเราจะเชื่อได้ยังไงว่ามันจะปลอดภัยในอนาคต
สิ่งหนึ่งทีเราไม่มีทางรู้เลยก็คือตอนจบของ Covid-19 ว่าจะมาเมื่อไหร่และจะมาในรูปแบบไหน คงเป็นไปได้อย่างที่ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมโดยไร้วัคซีน (ซึ่งก็ไม่รู้อีกนั้นแหละว่าเมื่อไหร่จะมา) แต่จากที่เห็นในตอนนี้วิธีการที่ดีที่สุดในการต่อกรกับไวรัสร้ายก็คือการติดตามว่ามันมีโอกาสแพร่กระจายไปไหนบ้างและในบางกรณีก็ต้องบังคับให้ประชาชนบางส่วนกักตัวลำพังในพื้นที่ที่จัดเตรียมเอาไว้ให้
ช่วงที่ผ่านมาเราได้ยินคำว่า “Contact Tracing” บ่อยขึ้นตามบทความและเนื้อข่าวต่างๆ ซึ่งไอเดียของมันก็คือการเก็บข้อมูลของผู้ป่วยว่าไปเจอใครมาบ้าง ที่ผ่านมาเดินทางไปที่ไหน ฯลฯ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องยากเพราะขึ้นอยู่กับความจำของคนๆนั้นว่าจดจำรายละเอียดได้มากขนาดไหนและความเชี่ยวชาญของผู้สอบถามอีกด้วย
เพราะฉะนั้นด้วยขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และงานที่หนัก การทำ Contract Tracing โดยมนุษย์นั้นจึงเป็นเรื่องยาก จึงนำมาซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้สมาร์ทโฟนเพื่อตรวจสอบว่าแต่ละคนมีความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขนาดไหน ไปเจอใครที่มีความเสี่ยงมาบ้างรึเปล่า ซึ่งไอเดียนี้ก็เริ่มถูกนำไปใช้ในหลายๆที่และก็มีประสิทธิภาพในระดับที่เป็นเรื่องน่าพอใจ
ตัวอย่างของบ้านเราที่เพิ่งเกิดขึ้นก็คือแอพพลิเคชั่น “หมอชนะ” เป็นแอพเก็บข้อมูลการเดินทางของประชาชน เพื่อประเมินความเสี่ยงได้ว่า ในบริเวณนั้นมีผู้ป่วย Covid-19 หรือไม่ โดยเก็บข้อมูลจาก GPS และ Bluetooth โดยจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือหนึ่งส่วนประเมินความเสี่ยงของตัวเอง และสองคือแจ้งเตือนเมื่อผู้ใช้งานนั้นเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยงที่มีผู้ติดเชื้อ Covid-19
หลังจากโหลดแอพแล้วก็สามารถทำแบบสอบถาม แอพก็จะจัดหมวดหมู่ให้ผู้ใช้งาน (เขียว, เหลือง, ส้ม, แดง ตามความเสี่ยงและคำตอบที่ให้) โดยการประมวลผลส่งไปยังระบบ ผู้ใช้คนอื่นๆจะมองไม่เห็นว่าแต่ละคนอยู่ที่ไหนบ้าง แต่จะมีการแจ้งเตือนหากเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเพียงเท่านั้น การใช้งานเบื้องต้นคือถ่ายรูปของตัวเองแล้วก็เปิดให้แอพเข้าใช้โลเคชั่นของโทรศัพท์พร้อมกับเปิด Bluetooth เพียงแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องใส่เลขบัตรหรือชื่อนามสกุลใดๆ ทางทีมผู้พัฒนาระบุว่า
“ตัวโค้ดของแอพเป็นโอเพนซอร์สให้ตรวจสอบได้ ส่วนข้อมูลที่บันทึกเข้าแอพจะถูกทำลายทิ้งหลังผ่านวิกฤตแล้ว และจะร่วมมือกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล จัดตั้งกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบกระบวนการจัดการข้อมูลให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562”
ในส่วนของประเทศอื่นๆอย่างเกาหลีใต้, สิงคโปร์, เยอรมัน หรือ จีน ต่างก็มีเครื่องมือที่ทำงานคล้ายคลึงกันออกมาใช้งานอยู่ มีความเข้มงวดและรัดกุมแตกต่างกันออก ซึ่งการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อลดความผิดพลาดของมนุษย์ในการสัมภาษณ์แบบนี้ทำให้การร่วมมือกันระหว่าง Google และ Apple นั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าในเชิงธุรกิจแล้วทั้งสองบริษัทนี้คือคู่แข่งที่เฉือดเฉือนกันตลอดเวลา แต่ถ้าร่วมงานกันได้จริงๆและการแชร์ข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟนสองค่ายก็เรียกได้ว่าครอบคลุมประชากรโลกในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย ซึ่งนี่จะกลายเป็นว่าความปลอดและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานจะยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปอีกหลายเท่าตัว
ถ้าเราไม่มองเรื่องของผลประโยชน์ว่าระบบนี้จะเข้ามาช่วยได้มากขนาดไหน แต่มองที่ความซับซ้อนของระบบที่เป็นเรื่องยากในการตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นหลังบ้าน เราจะเชื่อใจได้ยังไงว่าบริษัทเหล่านี้จะไม่มาหาผลประโยชน์จากข้อมูลที่มีการเก็บไประหว่างนี้ สิ่งที่เราทำ พฤติกรรมการใช้ชีวิต ไปไหนบ้างในแต่ละวัน ฯลฯ มันฟังดูหวาดระแวง แต่ในความเป็นจริงก็คือในเมื่อเราไม่รู้ ความกังวลก็เกิดขึ้นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องเชื่อว่าต่อไปพวกเขาจะไม่นำมันไปใช้ประโยชน์ หรือหลังจาก Covid-19 ไปแล้วข้อมูลเหล่านั้นจะไปอยู่ที่ไหน
มันเหมือนกับว่าตอนนี้เราอยู่ในจุดที่ไม่มีทางเลือกมากนัก การจะบอกว่าข้อมูลส่วนตัวสำคัญกว่าความปลอดภัยของส่วนรวมก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่การจะมาบอกว่าเอาข้อมูลของเราไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นก็ค่อยก็ว่ากันก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีมากนัก สิ่งที่ควรเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็คือว่ามันควรจะมีระบบขั้นตอนบางอย่างที่ทำให้ทุกคนตรวจสอบและไว้ใจได้ว่าข้อมูลที่ให้ไปนั้นไม่รั่วไหลหรือไปอยู่ในมือของผู้หาผลประโยชน์ รัฐบาลเองก็ควรสร้างความมั่นใจและรับรู้ว่านี่คือส่ิงที่ประชาชนกังวลไม่ใช่แค่บอกว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ทำให้ประชาชนเข้าใจอาจจะใช้เวลาและความพยายามมากสักหน่อย
แต่การมาชี้นิ้วบอกว่าอันไหนดีกว่าอันไหนยิ่งทำให้เกิดคำถามว่าสรุปแล้วจริงๆนี่คือคำสั่ง? ทั้งที่มันควรเป็นคำอธิบายเพื่อให้เราทุกคนร่วมมือและเป็น “ไทยชนะ” ที่ทุกฝ่ายพยายามเอาชนะอุปสรรคตรงหน้าไปด้วยกันซะมากกว่า