เราแค่ ‘คนคนหนึ่ง’ ที่ทำไม่ได้ทุกอย่าง ยอมรับตรงนี้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
วันนี้ผมเป็นบุคคล ‘ว่างงาน’ ครั้งแรกในรอบ 5 ปี
ที่จริงจะเรียกว่าว่างงานก็คงไม่จริงซะทีเดียว เพราะก็ยังเป็นนักเขียนและคอลัมนิสต์ให้กับสื่อต่าง ๆ อยู่นั่นแหละ ก็ยังเขียนทุกวัน เพียงแต่วันนี้เป็นวันแรกหลังจากที่เริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองเมื่อ 5 ปีก่อน ล้มลุกคลุกคลานมาเรื่อย ๆ วันนี้เหมือนว่ามันมาถึงจุดสิ้นสุดอย่างแท้จริงแล้ว (หรืออย่างน้อย ๆ ที่เหลืออยู่คือไม่ต้องใช้เวลากับมันมากแล้ว)
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกดี โล่งโหวงบอกไม่ถูก เหมือนส่วนหนึ่งของตัวเองหายไป เดินเข้าไปที่ออฟฟิศที่แต่ก่อนมีน้องอยู่กันเต็ม เสียงเจี้ยวจ้าว สั่งกับข้าวมาทานกันตอนเที่ยง ตอนคุยกับลูกค้า ตอนนี้เหลือแต่ความเงียบ
ผมนั่งลงที่โต๊ะตัวเดิม ถัดจากโต๊ะทำงานเก่าของน้องพนักงานอยู่ด้านข้าง มันดูเศร้าพิกล
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมเคยคิดว่าตัวเองมีความสามารถเพียงพอที่จะหลายอย่างพร้อมกันได้ เป็นมนุษย์กึ่งซุปเปอร์แมนที่ทำงานเขียนเต็มเวลาแต่ทำธุรกิจไปด้วยได้ คิดว่าตัวเองเป็นคนซุปเปอร์โปรดักทีฟ สามารถทำงานได้สองเท่าในเวลา 24 ชั่วโมง ผมหลงเข้าไปสู่วัฒนธรรมของ ‘อยาก…มากขึ้น’ อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เงินนะครับ รวมไปถึงควบคุมชีวิตได้มากขึ้น มีอิสระมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น อยากได้มากขึ้น อยากทำงานให้ได้มากขึ้น ทำทุกอย่างมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ (ซึ่งก็คือเหตุผลว่าทำไมหนังสือพวก productivity ถึงขายดี เพราะเราอยาก…มากขึ้นนี่แหละครับ)
มันเหมือนการเรียงตั้งก้อนหินที่หลาย ๆ ก้อนบนฐานรากอันสั่นคลอน สุดท้ายมันก็ต้องล้มครืนเป็นธรรมดา
บางคนอาจจะทำได้ แต่ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเหยียบเรือสองแคม จับปลาสองมือ แล้วไม่เลือกสักทีว่าจะไปทางไหน เลยทำออกมาได้แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะว่าไม่สำเร็จก็ไม่ใช่ จะว่าดีก็ไม่เชิง มันเหมือนน้ำอุ่นที่คนอยากถุยทิ้ง

หนังสือ “Four Thousand Weeks” (ที่หมายถึงอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์) ของ Oliver Burkerman แม้จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับ ‘Productivity’ เช่นกัน แต่เนื้อหากลับแตกต่างจากเล่มอื่น ๆ เหมือนเป็นการตบหน้าให้ตื่นจากพะวัง บอกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เรามีอายุขัยที่จำกัด เวลาที่จำกัด เราไม่มีทางทำทุกอย่างที่อยากทำได้ เพราะเราคือมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น
นั่นไม่ใช่มุมมองเชิงบวกหรือเชิงลบ มันแค่เป็น ‘ความจริง’ ที่ผมเคยเกลียดที่จะยอมรับ ต่อต้านเพราะไม่อยากเชื่อว่าตัวเองมีข้อจำกัด และในระหว่างที่ไม่เชื่อ ดึงดันที่จะทำทุกอย่างมากขึ้น ลองหาเคล็ดลับทุกอย่างบนโลกใบนี้ เพื่อจัดการเวลาที่มีวันละ 24 ชั่วโมงให้มีประสิทธิภาพที่สุด ‘ฉันต้องทำได้มากกว่านี้สิ’ สุดท้ายก็เรียบร้อย ทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจ เราละทิ้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว เพื่อจะวิ่งตามเป้าหมายอันแล้วอันเล่าที่ไม่มีวันจบสิ้น ทำได้แล้ว ต้องทำได้มากกว่านี้อีก
มนุษย์ไม่เคยพอใจ
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีเคล็ดลับทำให้ช่วงอายุขัยเฉลี่ยสี่พันอาทิตย์ของมนุษย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่มันนำเสนออะไรที่ดีกว่า นั่นคือ ‘ความสงบ’ ครับ มันเป็นของหายากแล้วในยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบ ในสังคมที่เชิดชูคนที่ทำได้ทุกอย่าง ความสงบคืออย่างสุดท้ายที่คนจะพูดถึง อยากสงบก็ไปบวช ทิ้งทางโลก ไปอยู่วัดสิ ซึ่งที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น
สำหรับผมแล้ว การปล่อยวางให้ตัวเองว่างคือแนวคิดที่ไม่เคยมีมาก่อน ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันคือทางเลือกหนึ่ง แต่วันนี้ได้เรียนรู้แล้วว่ามันช่างทรงพลังและเงียบสงบ แต่ทุกอย่างกลับดูโอเค โลกไม่ได้แตก เราก็ยังหายใจอยู่ ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป
เหมือนที่ผ่านมากลัวว่าคนอื่นจะมองว่า ‘ไร้ค่า’ จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเอง ‘มีค่า’
แต่วันนี้การไร้ค่าทำให้เห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า ‘เราก็แค่คนคนหนึ่ง’ ยอมรับตรงนี้ เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ ไม่มีทางที่จะทำทุกอย่างได้ แต่อย่าลืมว่า…
คุณยังมีสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ยังมีงานเขียนที่เรารักที่อยากทำเสมอมา ยังมีครอบครัวที่เรารัก ภรรยา ลูกน้อยที่กลับไปกอดไปหอมแก้ม ยังมีเวลาอีกมากมายที่สามารถทำสิ่งที่รักได้ กลับไปหาตัวเอง ใช้เวลากับตัวเอง
เราทำทุกอย่างให้ดีที่สุดไม่ได้ แต่เราทำสักอย่างให้ดีที่สุดได้
สิ่งที่เรียนรู้จากการเป็นคนว่างบริษัท (เพราะไม่ได้ทำธุรกิจของตัวเองแล้ว) คือต้องคอยเตือนตัวเองเสมอว่าทุกไอเดีย ทุกความเป็นไปได้ที่เข้ามานั้น เราไม่จำเป็นต้องทำ คอยรั้งความอยากทำมากขึ้น มีมากขึ้นให้ได้
อย่าพยายามควบคุม หายใจออกยาว ๆ ปล่อยวาง คุณสามารถเป็นอิสระได้
สุดท้ายแล้วการยอมรับคือสิ่งที่ยากที่สุด เราแค่ ‘คนคนหนึ่ง’ ที่ทำไม่ได้ทุกอย่าง ยอมรับตรงนี้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

อ่านบน Blockdit