3 กลยุทธ์ทางธุรกิจที่คุณคิดว่าดีสำหรับสตาร์ทอัพ แต่ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่
Survivorship bias (อคติในการเอาชีวิตรอด) เป็นรูปแบบหนึ่งของอคติที่ทำให้การคัดเลือกของผู้คนได้ข้อสรุปที่ผิดพลาด นำทางไปสู่กระบวนการคัดเลือกที่ยากจะเลือกให้ถูกทาง เช่น… การสร้างสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ และนี่คือ3 กลยุทธ์ทางธุรกิจที่คุณคิดว่าดีสำหรับสตาร์ทอัพ แต่ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่
อย่างที่ทุกคนรู้ดี สตาร์ทอัพส่วนใหญ่ล้มเหลว เนื่องจากอัตราการล้มเหลวที่มากนี้ ผู้ประกอบการมักจะตัดสินใจว่าอะไรดีและไม่ดีสำหรับการเริ่มต้นของพวกเขาโดยอิงจากชุดข้อมูลที่มีอคติ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในฐานะผู้ประกอบการ เราเห็นบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Amazon และ Google และ Uber เฟื่องฟู และเราคิดว่าเราควรเลียนแบบบริษัทเหล่านั้น
แต่นั่นเป็นกลยุทธ์ที่แย่มากสำหรับการสร้างสตาร์ทอัพ
บริษัทอย่าง Amazon และ Google และ Uber ไม่ได้เริ่มต้นองค์กรด้วยการดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่ พวกเขาเริ่มต้นจากบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็ก และกระท่อนกระแท่นที่เติบโตเป็นธุรกิจขนาดมหึมาเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น พวกเขาเปลี่ยนวิธีดำเนินการ อันที่จริง วิธีที่พวกมันเปลี่ยนไปนั้น ส่วนหนึ่ง ออกแบบมาเพื่อช่วยป้องกันตัวเองจากสตาร์ทอัพเล็กๆ ที่กระท่อนกระแท่น อย่างเช่น สตาร์ทอัพที่คุณอาจพยายามสร้าง
อย่าหลงกลกับสิ่งที่คุณเห็นจากการเริ่มต้นที่ “ประสบความสำเร็จ” กลยุทธ์ทางธุรกิจมากมายที่คุณคิดว่าดีโดยพิจารณาจากมุมมองที่คุณเห็นจากบริษัทอื่น ๆ
ต่อไปนี้คือตัวอย่างทั่วไปสามตัวอย่าง:
- 1. อย่าพยายามเป็นทุกอย่าง
เมื่อคุณเป็นสตาร์ทอัพอายุน้อย การกำหนดเป้าหมายไปยังตลาดขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่แย่ที่สุดที่คุณสามารถทำได้ เพราะการดึงดูดตลาดที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายนั้นต้องการการส่งข้อความที่กว้างพอ มิฉะนั้น คุณอาจเสี่ยงที่จะทำให้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าไม่เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์/บริการของคุณทำอะไร และทำไมพวกเขาจึงควรซื้อ
มันอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับบริษัทอย่าง Google ที่พวกเขาเป็น search engine และพวกเขายังเป็นบริการ GPS ผู้ผลิตโทรศัพท์ เบราว์เซอร์ ระบบปฏิบัติการแล็ปท็อป และอีกมากมาย หรือจะให้เมพกว่านั้น ถ้า Google เริ่มขายเครื่องปิ้งขนมปัง ใครก็อาจจะอยากซื้อเครื่องนั้นด้วย แต่อย่าลืมว่า Google ไม่ได้เริ่มต้นแบบนั้น
ในช่วงแรกสุด Google เป็นเพียงเครื่องมือค้นหา หาก Google พยายามขายโทรศัพท์ด้วยเมื่อเปิดตัวครั้งแรก เราคงไม่รู้จักมันในวันนี้ ถ้าพวกเขาจะกระจายตัวเองบางเกินไป การส่งข้อความถึงแบรนด์ของพวกเขาจะยุ่งเหยิง และบริษัทก็จะล้มเหลว
เช่นเดียวกับการเริ่มต้นของคุณ อย่าพยายามเป็นทุกอย่างให้กับทุกคน หาสิ่งหนึ่งและทำมันให้ดี เมื่อคุณเริ่มพัฒนาแบรนด์และพบผู้ติดตามที่ภักดีแล้ว คุณก็จะค่อยๆ ขยายไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นได้
- 2. “ไม่ใช่” ไม่ได้แย่
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ถือว่าคนที่ปฏิเสธผลิตภัณฑ์ของตนไม่ดี หมายความว่าพวกเขาจะไม่ใช่ลูกค้าของคุณ เนื่องจากบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกมีลูกค้าจำนวนมาก พวกเขาจึงไม่ถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน
Wrong!
บริษัทไม่ได้เป็นเจ้าของตลาดทั้งหมดโดยมีข้อยกเว้นเพียงเล็กน้อย (ข้อยกเว้นที่สร้างขึ้นโดยกฎหมายและข้อบังคับ) แม้แต่ Apple และ iPhone ที่ดูเหมือนว่าจะแพร่หลาย ก็เป็นเพียง 27% ของตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก
นั่นหมายความว่า ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เกือบสามในสี่ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั้งหมดปฏิเสธ iPhone ทั้งทางตรงและทางอ้อม
สถิตินี้เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่า “ไม่” ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ที่จริงแล้ว สำหรับผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่คุณเคยลองขาย คุณมีแนวโน้มที่จะได้รับคำว่า “ไม่” มากกว่า “ใช่” ในทางสถิติ
ด้วยเหตุนี้ คนที่พูดว่า “ไม่” กับผลิตภัณฑ์ของคุณจึงไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ไม่ดี มีผลลัพธ์ที่แย่กว่านั้นมาก อย่างคำว่า “อาจจะ”
เมื่อผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าบอกคุณอย่างชัดเจนว่า “ไม่” คุณสามารถไปหาผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ารายอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว (ควรมีจำนวนมากกว่าด้วย!) ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีคนบอกคุณว่า “อาจจะ” คุณต้องใช้เวลามากขึ้นในการพยายามโน้มน้าวให้พวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณ หากท้ายที่สุดแล้วพวกเขาไม่ซื้อ แสดงว่าคุณเสียเวลา และไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการเสียเวลาสำหรับผู้ประกอบการแล้ว
คุณสามารถเพิ่มเงินหรือรับเงินได้เสมอ แต่ไม่มีจะไม่มีวันที่เวลาจะมีมากขึ้น
โปรดจำไว้เสมอว่าการตอบ “ไม่” อย่างรวดเร็วเป็นของขวัญ และทำให้คุณประหยัดเวลา
- 3. รับลูกค้าให้ได้เท่าจะรับได้
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะบอกคุณว่า “ไม่” แต่บางคนก็จะตอบว่า “ใช่” และกลายเป็นลูกค้าของคุณ นั่นเป็นสิ่งที่ดีใช่มั้ย การมีลูกค้าจำนวนมากเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ
แต่ลูกค้าทุกคนไม่ได้เหมือนกัน เพราะลูกค้าไม่ได้เป็นเพียงแหล่งรายได้ ลูกค้ายังมีต้นทุน ลูกค้าของคุณจะทำให้คุณเสียเงิน เวลา และทรัพยากรอื่นๆ คุณคงไม่ต้องการที่จะมุ่งเน้นเฉพาะการหาคนที่ยินดีจ่ายเท่านั้น คุณต้องหาคนที่ยินดีจ่ายเกินราคา
ต้นทุนของลูกค้ามีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งผู้ประกอบการบางคนไม่เคยพิจารณาเลยจนมันสายเกินไป ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือการสนับสนุนลูกค้า เมื่อคุณขายผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ที่มีกรณีการใช้งานสำหรับผลิตภัณฑ์ไม่ตรงกับวิธีที่คุณสร้างขึ้น ลูกค้ารายนั้นจะต้องได้รับความช่วยเหลือมากมาย งานของคุณในฐานะบริษัทที่สร้างผลิตภัณฑ์คือการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งจะทำให้คุณเสียเวลาและเงิน
ตัวอย่างที่ชัดเจนน้อยกว่า แต่มีปัญหามากกว่าที่สามารถทำลายการเริ่มต้นธุรกิจได้ ก็คือเมื่อผู้ใช้ไม่พอใจพูด แทนที่จะแค่รำคาญ ยกเลิก หรือขอเงินคืน พวกเขาอาจบอกคนอื่นว่าบริษัทของคุณแย่แค่ไหน
สำหรับพวกเขาอาจจะใช่ และนั่นอาจไม่เป็นความจริงสำหรับคนที่พวกเขากำลังบ่นด้วย
ไม่มีใครวางยาผลิตภัณฑ์ไว้ในใจของว่าที่ลูกค้าใช่ไหม ดังนั้นอย่าเพิ่งเอาเงินของใครมา ให้สร้างกระบวนการคัดกรองและกำหนดเป้าหมายผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าคุณภาพสูง และคัดแยกผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่อาจก่อให้เกิดปัญหาระยะยาว
ที่มา : https://medium.com/swlh/3-business-strategies-you-think-are-good-for-growing-your-startup-that-actually-arent-1b705f5c1d20