ในตอนนี้แลปท็อปของ Apple (ไม่ว่าจะเป็นตระกูล Air หรือ Pro) ถือว่าเป็นสินค้าที่บ่งบอกว่าพวกเขานั้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนี้ไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งตัวดีไซน์ ขุมพลังด้านใน และเทคโนโลยีต่างๆที่ใส่เข้ามา ล้วนทำให้ผู้ใช้งานมากมายชื่นชอบสินค้าตัวนี้ของพวกเขา แต่ใครจะรู้บ้างว่าก่อนจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลย
วันที่ 20 กันยายน ในปี 1989, Apple ได้เปิดตัวคอมพิวเตอร์ตัวใหม่ชื่อว่า “The Macintosh Portable” มันเป็น mac เครื่องแรกที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ เป้าหมายของพวกเขาก็คือการสร้าง mac ที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้ มีขุมกำลังเท่ากับตัวตั้งโต๊ะ ใช้งานง่าย และคุ้นเคย

“ไม่ใช่เพียงแค่ส่วนหนึ่งของแอพพลิเคชั่น ไม่ใช่แมคจูเนียร์ ไม่มีการประนีประนอม”
Jean-Louis Gassée (Apple Product Chief 1981-1990) กล่าวในวันที่ยืนบนเวที
มันไม่ได้เป็นสัญญาปากเปล่าที่ Apple ทำไม่ได้, ที่จริงแล้ว Mac Portable นั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว คิดดูว่าเมื่อสามสิบปีก่อนการเห็นฟีเจอร์หน้าจอขนาด 9.8 นิ้ว (ที่ใหญ่กว่า Mac แบบคลาสสิคตั้งโต๊ะอีก) ขาว-ดำ active-matrix LCD (อ่านเพิ่มเติม) แต่มันทำให้เป็นหน้าจอที่แสดงข้อมูลให้อ่านได้ง่ายในสมัยนั้น แม้จะไม่ได้เป็น backlit ก็ตามที แถมไม่พอยังมีแบตเตอรี่ที่อึดทน (พวกเขาใช้ lead-acid battery) ประมาณว่า 10 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ทั้งๆที่สแตนดาร์ดในตอนนั้นอยู่ที่ราวๆ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น
พอร์ทต่างๆครบครัน คีย์บอร์ดแบบเต็มรูปแบบ สามารถใส่ trackball ได้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของคีย์บอร์ด (พวกเขาคิดถึงผู้ใช้งานที่ถนัดซ้ายด้วย) และมาพร้อมกับเคสสำหรับหิ้วไปมาและสายสะพายพาดไหล่อีกด้วย
ถึงแม้ว่าชื่อของมันจะบอกว่าเป็น Mac Portable ก็จริงอยู่ แต่…มันไม่ได้ Portable เหมือนกับชื่อสักเท่าไหร่ มันอาจจะพอ “ยก” ไปไหนมาไหนได้ซะมากกว่า ด้วยน้ำหนักตัวเปล่าๆที่ 6.23 กิโลกรัม และถ้ารวมฮาร์ดไดร์ฟเข้าไปด้วยก็จะอยู่ที่ 7.14 กิโลกรัม (แบกกันหลังแอ่นเลยหล่ะครับ) และราคาก็ระยับพอสมควร $5,800 (ซึ่งถ้าเทียบเป็นมูลค่าเงินสมัยนั้นบวกอัตราเงินเฟ้อมาจนถึงตอนนี้ก็ตกอยู่ราวๆ $12,000 หรือประมาณ 384,000 บาท ของมูลค่าเงินในปัจจุบัน [https://www.saving.org/inflation/])
Mac Portable ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีจากเหล่าแฟนๆสักเท่าไหร่ มันสินค้าตัวหนึ่งที่พบกับความล้มเหลวภายในเวลาเพียงสองปี แต่มันกลับเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า Apple เรียนรู้ว่าอะไรข้อผิดพลาดหลายๆอย่างที่พวกเขาได้ทำลงไป และมีอะไรบ้างที่พวกเขาควรจะหลีกเลี่ยงในอนาคต
อย่างแรกคือเรื่องของน้ำหนัก ย้อนกลับไปในช่วงปี 1989 ตอนนั้น NEC ได้เปิดตัว UltraLine ประมาณหนึ่งปีก่อนหน้า Mac Portable ซึ่งมีน้ำหนักเพียงแค่ 1.8 กิโลกรัมเท่านั้น (แต่ราคาก็สูงมากเช่นกัน) แม้แต่ John Sculley, CEO ของ Apple ในเวลานั้น, ยังบอกเลยว่า
“เราเจอแต่คนที่บอกว่า ‘ฉันหวังว่ามันจะเบากว่านี้ ราคาถูกกว่านี้’”
รีวิวและบทความต่างๆที่เขียนถึง Mac Portable ต่างก็มุ่งไปในทิศทางเดียวกันเกี่ยวกับเรื่องน้ำหนักและราคา แม้หลายๆแห่งจะพยายามบิดให้มันออกมาด้านบวกอย่างของ Macworld ก็เขียนว่า “แน่นอนว่ามันไม่ได้ล้มเหลวซะทีเดียว ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรามองในมุมของเป้าหมายดีไซน์ – สร้าง Macintosh ที่เคลื่อนที่ได้และใช้พลังงานแบตเตอรี่ – ก็เรียกว่าสำเร็จได้อย่างเต็มปาก” ทางด้าน Los Angeles Times แม้จะไม่ค่อยอยากจะเรียกว่ามันเป็นแลปท็อปสักเท่าไหร่ แต่ก็ตบท้ายว่ามัน “ใช้งานได้ดีมาก”
เมสเสสทางการตลาดของ Apple เองก็เน้นชูประเด็นว่า Mac Portable เป็นเครื่อง Mac มากกว่าที่มันจะเป็นแล็ปทอปสำหรับพกพาไปไหนมาไหนได้ ถ้าลองดูโฆษณาของ Apple ที่พยายามโฟกัสไปที่การใช้งานที่สะดวกสำหรับคนทั่วไป มากกว่า PCs ที่ตอนนั้นใช้ระบบ DOS โดยให้ผู้ชายชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งที่กำลังงุ่นง่ายไม่เข้าใจว่า PCs ของเขาทำงานยังไง เดินไปขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงอีกคนที่กำลังใช้ Mac Portrable (แต่เธอเอามันวางบนโต๊ะนะไม่ได้วางบนตัก วางบนตักเข่าอาจจะทรุดได้) โดยทั้งคู่ก็ยอมรับแหละว่าไม่ได้เก่งเรื่องคอมพิวเตอร์ (เฮ้ย….มัน 30 ปีมาแล้วเข้าใจได้หน่า) สิ่งที่โฆษณานั้นอยากจะสื่อก็คือว่าคุณควรเลือก Mac Portable มากกว่าสำหรับมือใหม่ที่ไม่รู้อะไรเลย
แต่เพียงปีต่อมา (1990) ก็เริ่มมีสัญญาณบ่งบอกแล้วว่าสิ่งต่างๆไม่ได้เดินไปตามแผนที่ Apple วางเอาไว้ อย่างแรกเลยก็คือการตัดราคาลดลงจาก 5,800 เหลือ $5,499 และต่อมาก็เป็นโฆษณาที่เริ่มเบนเข็มให้ Mac Portable กลายเป็นอุปกรณ์ที่นำกลับจากออฟฟิศมาทำงานต่อที่บ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือว่าหิ้วไปหิ้วมาในออฟฟิศ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่ได้ดึงดูดอะไรมากนักสำหรับลูกค้าที่อยากจะนำ Mac ของพวกเขาเดินทางไปไหนต่อไหนด้วย
สำนักข่าว San Francisco Chronicle รายงานว่าหนึ่งในร้านที่ขายสินค้าของ Apple บอกกับพวกเขาว่า “เราอยากจะได้ Mac ที่สามารถใช้เมื่อไปไหนมาไหนได้ แต่เครื่องนี้มันหนักเกินไป ขายได้ไม่เยอะเท่าไหร่ และก็ไม่มีใครถามถึงมันเลย” จากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Dataquest บอกว่า Apple ขายตัว Mac Portable ได้ประมาณ 8000 – 10000 เครื่องในช่วงไตรมาสแรก และหลังจากนั้นก็ขายได้เดือนละประมาณ 1000 เครื่องเท่านั้น
ช่วงต้นปี 1991, มีการอัพเกรดขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ให้มี backlit screen ที่สามารถอ่านได้ในที่แสงน้อย และตัดราคาลงไปอีก มันต่อชีวิตไปได้อีกนิดหน่อยแต่สุดท้ายในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน Apple ก็ตัดสินใจถอดปลั๊ก Mac Portable ออกจากตลาด
แต่แทนที่พวกเขาจะหยุดแค่นั้น…Apple กลับประกาศแล็ปทอปสามตัวใหม่ของ Mac ชื่อว่า PowerBook 100, 400 และ 170 ซึ่งไม่ได้เจริญรอยตามรุ่นพี่ที่ต้องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือน Mac แบบตั้งโต๊ะแล้ว เจ้า PowerBooks ทั้งสามตัวนั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่ว่ามันจะทำให้ผู้ใช้งานหิ้วไปใช้งานที่ไหนก็ได้แบบจริงๆเสียที รีวิวใน MacWorld บอกว่า
“โน๊ตบุคคอมพิวเตอร์เหล่านี้ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่มีทางที่จะทดแทน Mac แบบตั้งโต๊ะได้ ผู้ใช้งาน PowerBook จะต้องทำตัวให้ชินกับหน้าจอที่ไม่ค่อยชัด คีย์บอร์ดที่ไม่เหมือนเดิมและบีบอัด แบตเตอรี่ที่ไม่ยืนยาว แทรคบอลรูปแบบใหม่ แต่ทั้งสามรุ่นของ PowerBooks นั้นหนักน้อยกว่า 3 กิโลกรัม และสามารถใส่เข้าไปในกระเป๋าเอกสารได้”
และราคาเริ่มต้นประมาณ $2500 (ยังแพงอยู่แต่ก็ถือว่าเอื้อมถึงได้มากกว่า)
แน่นอนว่ามันได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากนั้น Apple ก็พยายามอัพเดท PowerBook ของตัวเองด้วยอัพเดทใหม่ๆ ปรับโมเดล เพิ่มเทคโนโลยีต่าง จนสามารถครองใจผู้ใช้งานได้เป็นจำนวนมาก PowerBook ถือเป็นความสำเร็จที่ช่วยปรับพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานจากแบบตั้งโต๊ะมาเป็นแล็ปทอปได้อย่างมากในช่วงปลายยุค 90’s ถึงต้นยุค 00’s (พวกเขาเปลี่ยนชื่อ PowerBook ไปเป็น MacBook ในช่วงปี 2006)
Apple ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าถนนเส้นนี้จะไม่ได้ราบเรียบและสะดุดขาตัวเองล้มตั้งแต่ก้าวแรกตอนที่เปิดตัว Mac Portable แต่ความพอมองจากจุดนี้กลับไปทำให้เห็นเลยว่าความผิดพลาดครั้งนั้นไม่ได้สำคัญอะไรมากเลย เรื่องราวของ Mac Portable นั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจ เพราะว่ามันเป็นสินค้าที่ถูกสร้างและออกแบบมาได้ตรงกับเป้าหมายของผู้สร้างอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ตลาดต้องการ
บทเรียนสำคัญที่ Apple เรียนรู้ก็คือ ไม่ว่าสินค้าจะดีขนาดไหน ถ้าลูกค้าไม่ซื้อเพราะเขาต้องการอย่างอื่น สุดท้ายมันก็จบอยู่ดี