4 เรื่องที่ควรรู้ก่อนเริ่ม ‘ลงทุน’ : บางเรื่องที่ ‘ดีเกินจริง’ ก็เพราะมัน ‘ดีเกินจริง’
เอาหล่ะลองจินตนาการตามผมดูสักนิดหนึ่งครับ
คุณไปงานสัมนาเกี่ยวกับการเงินที่หนึ่ง บังเอิญได้นั่งถัดจากอดีตประธาน Nasdaq ตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
เขาเสนอโอกาสในการลงทุนโดยรับประกันผลตอบแทนระหว่าง 12% ถึง 20% คุณจะเอาไหม?
ตาม “ธรรมชาติ” ของมนุษย์แล้ว ถ้าคุณตอบตกลงก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไร เพราะส่วนใหญ่เราตัดสินใจบนพื้นฐานของความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้นอยู่แล้ว และนี่คือประธาน Nasdaq ด้วย
โชคร้ายนิดหนึ่งตรงที่ชายคนนั้นคือ เบอร์นี แมดอฟฟ์ (Bernie Madoff) ชายผู้สร้างวีรกรรมแชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่ที่สุดในโลก นำเงินลงทุนของคนล่าสุดที่หลอกมาได้ จ่ายให้กับคนก่อนหน้าเหมือนเป็นดอกเบี้ย ทำวนไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างที่เราทราบ ๆ กันดี
ทำไปนานถึง 30 ปี ตั้งแต่ช่วงต้นของยุค 90’s จนกระทั่งปี 2008 สร้างความเสียหายกว่า 17,500 ล้านเหรียญ (ราว ๆ 6 แสนล้านบาท) สุดท้ายถูกตัดสินจำคุกนาน 150 ปี
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้ามีคนมาการันตีผลตอบแทนที่ดีเกินจริง…มันก็คงไม่จริงนั่นแหละครับ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอดีตประธาน Nasdaq หรือ คนที่มีชื่อเสียง ดารา หรือ เซเลปคนไหนก็ตาม
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องการเงินและการลงทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ซึ่งวันนี้ก็อยากมาแชร์กันเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ครับ เพราะส่วนตัวก็เจ็บมาบ้างไม่น้อยเช่นกัน
- รู้ความแตกต่างระหว่างการเทรดสั้นและการลงทุนระยะยาว
ก่อนจะลงทุน ถามตัวเองเลยครับว่า “เป้าหมายของการลงทุนของฉันคืออะไร?”
- เพื่อชีวิตเกษียณที่พอมีพอกิน?
- เพื่อหารายได้สำหรับชีวิต?
ถ้าเป้าหมายคือการเกษียณมันคือการลงทุน แต่ถ้าเป้าหมายคือการหารายได้มันคือการเทรดสั้นซึ่งจะหาเงินในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อาจจะเทรดรายวัน รายเดือน แต่นั่นคือคนที่เทรดเป็นอาชีพ สำหรับคนที่ไม่ได้มองว่าการเทรดหุ้นจะกลายมาเป็นอาชีพ ตลาดหุ้นสามารถเป็นแหล่งลงทุนระยะยาวชั้นดีครับ
ต้องดูแนวคิดของคุณก่อนนะครับก่อนจะตัดสินใจว่าทำไปเพื่ออะไร
- การลงทุนคือนิสัย ไม่ใช่ทำครั้งเดียวจบ
การลงทุนคือการออมอย่างหนึ่ง เป็นเป้าหมายระยะยาวเพื่อสร้างความมั่งคั่งในบั้นปลายของชีวิต เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นการลงทุนให้เป็นนิสัย ไม่ใช่การตัดสินใจทำครั้งเดียวแล้วรอให้ออกดอกออกผล
เทคนิคที่ผมใช้คือสิ่งที่เรียกว่า “Dollar Cost Average” หรือ DCA ที่เป็นการเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีแล้วลงเงินซื้อเท่า ๆ กันในแต่ละเดือน สิ่งนี้ทำให้ไม่ต้องมานั่งกังวลกับตลาดขึ้นลง เรารู้อยู่แล้วว่าหุ้นเป็นหุ้นที่ดี ระยะยาวแม้ตลาดจะมีผันผวนบ้าง ก็จะยังเป็นหุ้นที่ดีอยู่ดี บางทีหุ้นแพงก็ได้จำนวนหุ้นน้อยหน่อย บางทีหุ้นถูกก็ได้จำนวนหุ้นมากหน่อย สุดท้ายมันจะเฉลี่ยออกมาโอเคครับ
หาจำนวนเงินที่คุณสามารถลงได้ทุก ๆ เดือน ทำให้เป็นนิสัยครับ (สำหรับคนอื่น ๆ ที่หาจังหวะเข้าหุ้นเก่ง ๆ ก็อาจจะไม่ใช่เทคนิคนี้ แต่สำหรับคนที่ไม่อยากให้อารมณ์หรือความกลัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ลองศึกษาดูครับ)
- ตลาดปรับฐาน และ ตลาดหมี เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน
การปรับฐานของตลาดและภาวะตลาดหมี เป็นคำที่ใช้อธิบายสถานการณ์ตลาดหุ้นในช่วงเวลาปรับลดลง
- การปรับฐานโดยทั่วไปจะเกิดขึ้นเมื่อตลาดหุ้นปรับลดลงประมาณ 10% จากจุดสูงสุดล่าสุด และเกิดนานแค่ไหนก็ได้
- ภาวะตลาดหมีเกิดขึ้นเมื่อตลาดปรับลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด อย่างน้อยเป็นเวลาสองเดือน
จากสถิติแล้วการปรับฐานเกิดขึ้นบ่อย ๆ อาจจะปีสองปีครั้ง ส่วนตลาดหมีจะประมาณ 7 ปีครั้ง ซึ่งสิ่งสำคัญคือว่าเมื่อเรารู้ประมาณนี้ก็ต้องทำใจไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ การลงทุนแล้วเห็นหุ้นที่เคยเขียว ๆ อยู่ ๆ ติดลบทำเอาใจหายได้ เพราะฉะนั้นต้องแยกให้ออกด้วยว่าเป็นปัญหาที่ตัวหุ้น หรืออุตสาหกรรมที่มันอยู่ หรือเป็นที่ตลาดโดยรวม ถ้าเป็นหุ้นที่ดีในระยะยาว สุดท้ายแล้วมันจะกลับมาครับ
- อย่าไปใกล้แชร์ลูกโซ่
เราเห็นตัวอย่างมานักต่อนัก ความโลภบังตา เราได้ยินมาตลอด อันไหนที่มันดีเกินจริง มันก็คงดีเกินจริงจริง ๆ นั่นแหละ
ความโลภ กับ ความกลัว อยู่ไม่ห่างกัน เมื่อเห็นคนรวยเร็ว เราโลภอยากได้ เมื่อเห็นตลาดเริ่มแพนิค เรากลัวรีบขาย
ทำไมแชร์ลูกโซ่อย่างของแมดอฟฟ์ถึงยังเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็เพราะคำเดียวแหล่ะครับ ความโลภ
การลงทุนควรใช้เหตุผลให้มากและอารมณ์ให้น้อยที่สุด
ขอให้มีความสุขกับการลงทุนครับ มีประโยคหนึ่งเกี่ยวกับการลงทุนของ Benjamin Franklin ที่ผมชอบมากบอกว่า
ก่อนจะลงทุนอะไรขอให้ดูดี ๆ หาข้อมูลดี ๆ ก่อนตัดสินใจครับ