SOPON’S BLOG
“สุขมากขึ้น ร่ำรวยขึ้น และสงบมากขึ้น” : เปิดประสบการณ์ ‘No Spend Year’ ของนักข่าวฟรีแลนซ์ที่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือยกับปี 2024 ที่ตัดค่าใช้จ่ายเหลือแค่ที่จำเป็น
November 28, 2024
ด้านมืดของ ‘บริโภคนิยม’ จากสารคดี ‘Buy Now! The Shopping Conspiracy’ มนุษย์โหมบริโภค โลกจึงกลายเป็นกองขยะ
November 27, 2024
อย่าให้สังคมกำหนดว่าเรา ‘ต้องมีอะไร’ ถึงจะมีความสุข
November 27, 2024
แม้ไม่มีรายได้ แต่รายจ่ายมีทุกวัน : 5 อย่างที่ต้องเตรียมพร้อมด้านการเงิน เมื่อตลาดแรงงานไม่มั่นคง
November 27, 2024
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่วางหินวันละก้อน
November 26, 2024
Facebook Twitter Youtube Instagram Medium Bootstrap
SOPON’S BLOG

Type and hit Enter to search

  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Tech
    • Business
    • Thoughts
    • Science
    • Startups
    • Lifehack
    • People
    • Travel
    • Inspiration
  • Podcast
  • About
  • Contact
  • Follow
    • Facebook
    • Twitter
    • Instagram
    • Blockdit
    • Telegram
LifehackPeople

5 นิสัยเศรษฐีพันล้านที่ “อย่าหาทำ”

sopons
October 17, 2020 2 Mins Read
524 Views
0 Comments

“ถ้ามีคนอื่นกระโดดลงจากหน้าผา คุณต้องโดดด้วยไหม?”

นี่คือคำถามที่ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินผ่านหูมาไม่มากก็น้อย ผมจำได้ว่าเตี่ยเคยพูดอะไรแบบนี้ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นช่วงติดเพื่อน มันทำให้ผมฉุกคิดว่าพฤติกรรมของเราไม่ควรเอาไปยึดติดกับคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาทำในเวลานั้นดู “มีเหตุผล” อะไรบางอย่างก็ตามที

เมื่อเราเห็นความสำเร็จของของเหล่าคนที่ประสบความสำเร็จที่เห็นกันตามสื่อทั่วไป เราก็มักรู้สึกว่านี่อาจจะเป็น ‘กุญแจ’ ไขไปสู่ความร่ำรวยล้นฟ้าเหมือนอย่างพวกเขาก็ได้ แต่ที่จริงแล้วคนเหล่านี้ก็ยังเป็นมนุษย์เหมือนเราทุกคนนั้นแหละ ความคิดของพวกเขามีผิดบ้างถูกบ้างแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายความว่า Bill Gates ทำแบบนี้ ฉันต้องทำเหมือนกันด้วยอย่างอัตโนมัติ เพราะพฤติกรรมบางอย่างที่เราเห็นก็ควรเป็นแค่ตัวอย่างที่เอาไว้ดูว่าไม่ควรเอาไปเลียนแบบ

Elon Musk : ตารางเวลาสล็อตละ 5 นาที

เจ้าของ Tesla, Neuralink และ SpaceX บุคคลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคสมัยเราเลยก็ว่าได้ เขาเป็นไอดอลของคนรุ่นใหม่ที่กล้าทำในสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ ทุกโปรเจ็คที่เขาจับมักเป็นเรื่องที่ฮือฮาเสมอ แต่ใครจะรู้บ้างว่าในแต่ละวันของเขาตั้งแต่ตื่นนอนเจ็ดโมงเช้า เขาแบ่งเวลาออกเป็นบล็อคแล้วลงตารางว่าจะทำอะไรทุกๆ 5 นาที ([https://www.businessinsider.com/elon-musk-daily-schedule-2017-6])

ฟังดูแล้วรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เราควรเอามาทำตามเลย เพราะถึงแม้ว่าเราเชี่ยวชาญหรือชำนาญในเรื่องนั้นๆมากแค่ไหน มันก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาที่เราจัดเตรียมเอาไว้นั้นจะเหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ (เรียกว่า The Planning Fallacy [https://en.wikipedia.org/wiki/Planning_fallacy]) ซึ่งถึงแม้ว่า Musk จะแบ่งย่อยงานออกเป็นบล็อคเวลาเล็กๆแบบนี้ เขาก็ยังต้องทำงานมากกว่า 80-120 ชั่วโมงต่ออาทิตย์อยู่ดี ซึ่งการทำงานหนักแบบนี้ไม่ได้เป็นเครื่องหมายของการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่หลายๆคนเข้าใจกันเลย ที่จริงแล้วมันออกจากตรงกันข้ามด้วยซ้ำเพราะมันแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเขาต้องเป็นคนจัดการเองหมดและดูไม่โฟกัสที่ตรงไหนแบบจริงจังสักอย่าง

ในบทความจาก Business Insider บอกว่าช่วงวันเสาร์ที่อยู่กับครอบครัวเขาต้องตอบอีเมลไปด้วย โดยบอกว่าเขา “สามารถที่จะอยู่กับครอบครัวของเขาได้และทำงานไปด้วยในเวลาเดียวกัน”

เราเห็นตัวอย่างกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่พ่อแม่ทำงานอย่างหนักโดยที่ไม่ได้ใช้เวลากับครอบครัวจนสุดท้ายก็ต้องมาเสียใจทีหลังเพราะมัวแต่กังวลกับสิ่งที่เรียกว่างานนั้นแหละ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรเอามาเป็นแบบอย่าง เป็นการใช้ชีวิตที่ขาดสมดุลย์และรังแต่จะทำให้เกิดการ burn out ก่อนจะสร้างผลงานอะไรดีๆออกมาได้

สิ่งที่ควรทำก็คือแยกให้ออกว่าอันไหนคือสิ่งที่สำคัญ ที่เราควรต้องทำ งานไหนที่จะผลักเราให้ไปสู่เป้าหมายที่เราวางเอาไว้ได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่งานของเราสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ มีอะไรบ้างที่เราสามารถทำได้น้อยลงและปล่อยวางมากขึ้น ใช้เวลากับคนที่เรารักและสิ่งที่เรารักมากยิ่งขึ้น

Warren Buffett : หลงใหลกับผลิตภัณฑ์ของตัวเองจนเกินพอดี

อันนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับปู่ Warren Buffett ที่หลายคนอาจจะพอรู้กันอยู่บ้างแล้ว เป็นพฤติกรรมการทานผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่ตัวเองลงทุนอยู่อย่างเกินพอดี คำว่าเกินพอดีในที่นี้คือ เชอรี่โค้ก 5 กระป๋องที่เต็มไปด้วยน้ำตาล และอาหารฟาสต์ฟู้ดที่อุดมไปด้วยโซเดียมของ McDonald’s อย่างน้อยๆสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งทั้งสองบริษัทนี้เขาเป็นผู้ถือหุ้นอยู่นั้นแหละ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขายังคงทำงานอยู่ทุกๆวันในวัย 88 ปี แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี เรารู้อยู่แล้วว่าการรับประทานน้ำตาลหรือโซเดียมในระดับที่เกินพอดีนั้นไม่ได้เป็นผลดีต่อร่างกายเรา ข้อยกเว้นอีกอย่างหนึ่งของ Warren Buffett ก็คือว่าเขามีสินทรัพย์และเงินทองมากมายที่สามารถเข้าถึงการแพทย์ระดับที่ดีที่สุดในโลกได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยสำหรับคนทั่วไป

Warren เชื่ออย่างสุดใจในบริษัทที่เขาลงทุนอยู่ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทเหล่านี้สร้างแต่ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคทั้งหมด 100% แล้วการที่ Warren ยังสุขภาพโอเคในเวลานี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าสำหรับคนอื่นๆจะได้รับประสบการณ์แบบเดียวกัน ซึ่งเรามักได้ยินคำกล่าวประมาณว่า “don’t get high on your own products” ซึ่งก็เป็นคำกล่าวน่าจะเหมาะกับ Warren Buffett เป็นอย่างมาก

Bill Gates : ทะเลาะกับ cofounder

ภาพของ Bill Gates ที่เรามักเห็นกันตามหน้าข่าวหรือสื่อต่างๆนั้นเป็นภาพของคุณลุงผู้ชายใจดียิ้มแย้มอบอุ่น เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปรับปรุงการบริหารสุขภาพและลดความยากจนทั่วโลก แต่ช่วงที่ก่อตั้งบริษัท Microsoft นั้นเขามีบุคลิคอีกอย่างหนึ่งเลยที่หลายๆคนอาจจะคิดไม่ถึง

Paul Allen เป็น co-founder ของ Microsoft ที่หลายคนมักลืมคิดถึง เขาได้กล่าวถึงช่วงเวลาที่ทำงานกับ Bill Gates ในอัตชีวประวัติของเขาว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้สวยหรูตลอดเวลา มีหลายครั้งที่ Bill Gates จะต่อว่าเขาต่อหน้าพนักงานของบริษัทเป็นประจำ แย่กว่านั้นเขาได้ยินมาว่า Bill Gates เคยบ่นว่าให้เขาลับหลังว่าไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ทั้งๆที่ตอนนั้นเองเขาก็กำลังต่อสู้กับมะเร็งอยู่ด้วย นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ Paul Allen ตัดสินใจลาออกจากบริษัทในปี 1983 และบอกกับ Bill Gates ว่า “บางวันที่ทำงานกับนายมันเหมือนอยู่ในนรกเลย”

ทั้งคู่นั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แถม Paul Allen ก็ยังเป็นคนโน้มน้าว Bill Gates ให้ลาออกจากมหาวิทยาลัยมาก่อตั้งบริษัทด้วยกันด้วย เพราะฉะนั้นการทะเลาะเบาะแว้งนั้นเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าเหตุผลที่ 65% ของบริษัทสตาร์ทอัพล้มเหลวนั้นมาจากการแตกแยกกันของผู้ร่วมก่อตั้ง โชคดีที่บริษัท Microsoft ไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่นั้นอาจจะเป็นเพราะความยอดเยี่ยมของผลิตภัณฑ์พวกเขาด้วยมากกว่า ไม่ใช่สตาร์ทอัพทุกแห่งจะโชคดีแบบนั้น

ความสัมพันธ์ของ co-founders นั้นไม่ควรมีคนใดคนหนึ่งที่เป็นผู้นำและตัดสินใจทุกอย่าง แต่ควรเป็นการแบ่งแยกหน้าที่ให้ชัดเจนตามความชำนาญและดูแลในส่วนที่รับผิดชอบดีกว่า

Steve Jobs : พฤติกรรมการทานอาหารที่เคร่งเกินไป

ทุกคนอยากเป็น Steve Jobs หลายคนยกย่องเขาปานศาสดา หลายคนมักพูดถึงเขาว่าเป็นอัจฉริยะแห่งยุคสมัยใหม่ แต่ว่าคาแรคเตอร์หนึ่งของ Steve Jobs ที่มีการพูดถึงอย่างมากก็คือเรื่องการรับประทานอาหารที่ค่อนข้างเคร่งครัด บางครั้งเขาทานแค่แครอทอย่างเดียวเป็นเวลาหลายอาทิตย์ ถึงแม้ว่าแพทย์จะแนะนำให้เขาทานอาหารให้หลากหลายขึ้นเขาก็ยังยึดติดกับความเชื่อที่อ่านจากหนังสืออายุเป็นร้อยปีระหว่างอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ([https://www.businessinsider.com/steve-jobs-diet-food-extreme-fasting-habits-2019-7])

Steve Jobs เชื่อว่าแนวทางการทานอาหารแบบนี้จะทำให้เขาเข้าสู่ภาวะลื่นไหล (flow state) ได้ง่ายขึ้น แต่อย่างที่เรารู้กันดี คุณหมอหรือพ่อแม่ทุกคนเคยบอกอยู่ตลอดว่าการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นในการมีสุขภาพที่แข็งแรง เพราะฉะนั้นให้ระวังความเชื่อเรื่องการทานอาหาร รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รักษาสุขภาพตัวเอง ทานอาหารให้ครบและหาเวลาออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจะดีกว่า

Jeff Bezos : แซะพนักงาน

“นายแค่ขี้เกียจหรือแค่ไม่ได้เรื่อง?”

“โทษทีนะ เช้านี้ทานยาที่ทำให้ตัวเองโง่มาเหรอ?”

“ถ้าฉันได้ยินไอเดียนี้อีกครั้ง ฉันจะต้องฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน”

ในหนังสือ ”The Everything Store” ของ Brad Stone ที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ Amazon และวัฒนธรรมการทำงานที่นั้น ประโยคด้านบนที่แขวะรุนแรงจนเลือดอาบนั้นมาจากปากของใครไม่ได้เลยนอกจาก Jeff Bezos ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาอารมณ์เสียก็เหวี่ยงอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนเลย แม้ว่าพนักงานของ Amazon หลายคนพยามแก้ต่างให้ว่าที่เขาเป็นแบบนี้เพราะเขาต้องการทำให้ลูกค้าพึงพอใจอย่างยิ่งยวด แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องดูถูกพนักงานเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายตรงนั้น ลูกค้าเป็นพระเจ้า Jeff Bezos เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่มันต้องแลกมาด้วยอะไรกัน?

มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ไร้ชชีวิตจิตใจ วัฒนธรรมการทำงานที่ควบคุมด้วยความกลัวนั้นส่งผลเสียในระยะยาว เห็นได้จากอัตราการเปลี่ยนพนักงานของ Amazon นั้นสูงเป็นอันดับสองในกลุ่ม Fortune 500 เลยทีเดียว มันแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่วิธีการบริหารพนักงานที่ดีเลย รายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่ควรแลกมาด้วยมนุษยธรรมที่ลดลง


ไม่ใช่ทุกอย่างที่เขาทำเราต้องหันไปทำตามเพียงเพราะเห็นว่าเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ มีทั้งเรื่องที่ถูกและผิดปะปนกันไป สิ่งสำคัญคือเราควรต้องหาทางของเราเองและเรียนรู้ว่าสิ่งไหนควรทำตามหรือสิ่งไหนควรหลีกเลี่ยง เรามีข้อมูลมากมายอยู่ที่ปลายนิ้ว การหลับหูหลับตาทำตามคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ดูไร้เหตุผลเกินไปสักหน่อย ถ้าเศรษฐีพันล้านจะโดดหน้าผาก็ไม่จำเป็นต้องกระโดดตาม

Tags:

avoidbehavioursbill gateselon muskfeaturedlifehacksteve jobswarren buffettนิสัยหลีกเลี่ยง

Share Article

Follow Me Written By

sopons

Writer / Columnist (Salmon Books, 101.world, The Matter, Beartai, The People, a day Bulletin, CapitalRead, GQ, Billion Brands)

Other Articles

Previous

Make Your Own Ripple Effect

Next

สุขภาพหรือเสรีภาพ? เมื่อ Covid-19 ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันต้องแลกมาด้วยข้อมูลส่วนตัว

Next
October 17, 2020

สุขภาพหรือเสรีภาพ? เมื่อ Covid-19 ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันต้องแลกมาด้วยข้อมูลส่วนตัว

Previews
October 17, 2020

Make Your Own Ripple Effect

No Comment! Be the first one.

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Posts

จากร้านหนังสือออนไลน์สู่การเดินทางในอวกาศ – Jeff Bezos นำ Amazon มาถึงจุดนี้ได้ยังไง?

by sopons
October 25, 2020

When the giant awakes – เมื่อยักษ์ Microsoft ฟื้นคืนชีพภายใต้การนำของ Satya Nadella

by sopons
October 22, 2020

Hello World – เทคนิคลดความประหม่าเมื่ออยู่ในงานปาร์ตี้

by sopons
October 13, 2020

Make Your Own Ripple Effect

by sopons
October 17, 2020
SOPON’S BLOG

STUFF WORTH READING

© 2022, All Rights Reserved.

Quick Links

  • Contact
  • About

Category

  • Self-Improvement
  • Technology
  • Business
  • Thoughts
  • Psychology

Follow

Facebook Twitter Youtube Instagram
  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Business
    • Technology
    • Inspiration
    • Books
    • Life Style
    • Startups
    • Thoughts
    • Travel
  • About
  • Contact