ไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เราอยู่กับข้อมูลจำนวนมหาศาลทุกวัน ตื่นเช้ามาเปิดทีวี ระหว่างนั่งรถไฟฟ้าไปที่ทำงานกดเปิดเฟสบุ๊คอัพโหลดฝูงมหาชนที่อัดกันอยู่ในนั้น เปิดเกมส์เล่นออนไลน์ฆ่าเวลาระหว่างนั่งรอประชุม ช้อปปิ้งเสื้อผ้าออนไลน์เพื่อมาส่งที่บ้าน จองตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศในช่วงวันหยุด เปิดเพลงจาห spotify ฟังระหว่างทำงาน กลับบ้านนั่งดู Netflix ระหว่างที่รออาหารจาก Line Man ไปจนกระทั่งการค้น Google สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลทั้งหมด อาจจะแตกต่างกันในแต่ละรูปแบบและกฎหมายที่ควบคุมในแต่ละที่ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ให้บริการ (บริษัทต่างๆ) สามารถทำอะไรกับข้อมูลของเราก็ได้ตราบใดที่มันไม่ผิดกฎหมายที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีเรื่องความรับผิดชอบหรือรู้สึกผิดชอบชั่วดีเข้ามาเกี่ยวข้องจนกว่าจะมีรัฐาลออกมา “ทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”
เพราะสุดท้ายแล้ว…ความจริงก็คือเงินถืออำนาจเหนือทุกอย่าง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามโดยปกติแล้วมันมีเรื่องต้องห้ามอยู่ด้วยกันสองข้อ : อย่างแรกคือห้ามไม่ให้มีการเก็บข้อมูลจากผู้เยาว์ที่อายุน้อยกว่า 13 ปี และสองคือการป้องกันบริษัทที่สาม (ซึ่งไม่บริษัทที่ให้บริการและผู้ใช้บริการ) ไม่ให้ระบุตัวตนของคนที่เก็บข้อมูลมาได้ (อันนี้มีชื่อเรียกกันว่า personally-identifying information (PII) ข้อมูลที่สามารถใช้ระบุตัว ติดต่อหรือค้นหาบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ)
บริษัทเหล่านี้ใช้ทั้งเงินและเวลาเพื่อจะหาผลประโยชน์ด้วยวิธีการใดก็ได้กับข้อมูลของเรา โดยที่พยายามที่จะไม่ก้าวข้ามผ่านข้อบังคับเหล่านี้
แต่จากหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยเฉพาะปัญหาของ Facebook และ Analytica คำถาม “ใครควรจะเป็นผู้ควบคุมว่าข้อมูลของเราจะไปที่ไหน?” มักถูกพูดถึงอยู่ตลอดเวลา
โซเชียลมีเดียโดยทั่วไปและโดยเฉพาะเฟสบุ๊คกลายมาเป็นส่วนประกอบของชีวิตประจำวันของประชากรส่วนใหญ่ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของปี 2000’s ในการที่จะเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานให้อยู่ในระดับพันล้านคน บริการเหล่านี้ต้องเปิดให้ใช้ได้แบบไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อดึงคนให้เข้ามาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ไม่ว่าบริการอะไรก็ตามคำว่า “ฟรี” นั้นแทบไม่เคยมีอยู่จริง ใครที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ต้องเป็นคนจ่าย ในกรณีของโซเชียลมีเดียก็เป็นใครไม่ได้นอกจากบริษัทโฆษณาทั้งหลาย และเพื่อจะให้โฆษณาของพวกเขานั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด บริษัทเหล่านี้ต้องการรู้เกี่ยวกับเราให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้สามารถยิงโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละแพลตฟอร์ม
กล่องแพนโดร่าของศตวรรษที่ 21
ในส่วนของใครเป็นเจ้าของข้อมูลที่ให้ไป องค์กรเกือบทั้งหมดมองว่าข้อมูลที่ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการได้สร้างขึ้นโดยตรงผ่านการใช้งานหรือซื้อผลิตภัณฑ์ถือว่าเป็นของบริษัท ยกตัวอย่างในบริษัทยาและอุปกรณ์การแพทย์ พวกเขามีข้อมูลของผู้ที่ซื้อสินค้าของพวกเขาไป แม้ว่าจะไม่ได้ซื้อขายกับลูกค้าโดยตรง ในกรณีนี้มีตัวกลางเป็นสถานพยาบาล มีคุณหมอและโรงพยาบาลเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างสินค้ากับคนไข้
แต่ถ้ามองไปที่ธุรกิจวีดีโอเกมส์นั้นมีความคล้ายคลึงกับโซเชียลมีเดียมากกว่าในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้า ข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการเล่นเกมส์เป็นส่วนหนึ่งของการตลาดและทำผลประโยชน์กลับคืนสู่บริษัท ในรูปแบบของการจัดแบ่งกลุ่มลูกค้าและผู้ใช้บริการเพื่อจะเป็นการง่ายต่อการใช้โปรโมชั่นและการปล่อยสินค้าใหม่ๆ พวกเขาเก็บข้อมูลจำนวนมากจากพฤติกรรมการใช้งานจากทุกอย่างที่เป็นไปได้ เราทำอะไรบ้างระหว่างเล่นเกมส์ ซื้อของในร้านออนไลน์รึเปล่า ฯลฯ ทุกอย่างที่ผู้ใช้งานทำระหว่างที่เล่นเกมส์จะถูกนำไปเก็บเอาไว้ในคลังข้อมูลเพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น โดยข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นทรัพย์สินของบริษัทและเราเองก็กดตกลงยอมรับตั้งแต่เข้ามาใช้งานครั้งแรกแล้ว
มาอีกด้านหนึ่งอย่างโฆษณาทางทีวี ข้อมูลที่ถูกใช้โดยบริษัทโฆษณานั้นเป็นข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าพวกเขาไม่มีทางรู้ว่าบ้านไหนดูอะไร รู้เพียงคร่าวๆว่ามีกี่ครอบครัวที่ดูโชว์อะไรอยู่ ในพื้นที่ไหน เป็นเวลานานเท่าไหร่ กี่ครั้ง และเมื่อไหร่ เพียงเท่านั้น
ตอนนี้ยังมีพื้นที่ใหม่ๆในการเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นอีกอย่าง Internet of Things (IoT) ที่ครัวเรือนแต่ละหลังกลายเป็นศูนย์กลางของอุปกรณ์ต่างๆที่เชื่อมต่อกันในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยอุปกรณ์แต่ละตัวก็จะส่งข้อมูลกลับไปยังบริษัทของตัวเองเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักในเวลานี้คือเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่ข้อมูลมีการส่งต่อจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งโดยไม่มีการหยุดพัก เป็นการเชื่อมต่อเหมือนใยแมงมุมที่ไม่มีสิ้นสุด เพียงแต่ว่าเราไม่เป็นแมงมุม ซึ่งก็หมายความได้อีกอย่างหนึ่งว่าเราเป็นเหยื่อที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่บินมาติดอยู่ตรงนี้นั้นแหละ อาจจะฟังดูเป็นการเปรียบเทียบที่น่ากลัวไปสักหน่อย แต่น่าเศร้าที่มันดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เราทุกคน, ยากดีมีจน, เป็นผู้สร้างข้อมูลนับร้อยนับพันในแต่ละวันซึ่งถูกเก็บเอาไว้ในฐานข้อมูล ที่สามารถถูกเรียกขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์หรือนำมาใช้ใหม่อีกครั้งโดยจะส่งผลกระทบกับชีวิตเราโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โฆษณาที่เจาะจงเพื่อเราถูกส่งมาดึงดูดความสนใจระหว่างที่เราใช้สมาร์ทโฟนอยู่ทุกที่บนโลกใบนี้ หน้าแลปท็อปหรือแทปเล็ตก็ไม่ต่างกัน สมาร์ททีวีก็หนีไม่พ้นเช่นกัน หรือแม้แต่กล่องอีเมลของเราที่จะเต็มไปด้วยเมลโฆษณาขายสินค้าที่บางครั้งเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปสมัครตอนไหน แย่กว่านั้นบางครั้งเราได้รับสายโทรศัพท์จากบริษัทแปลกๆที่ไม่รู้ไปเอาเบอร์ส่วนตัวมาได้ยังไงกัน
แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมด อย่างเช่นสมมุติว่าเรากำลังสนใจสินค้าตัวหนึ่งอยู่ แล้วข้อมูลตรงนี้ก็มีการเก็บเอาไว้ วันหนึ่งที่มีดีลราคาดี อาจจะได้ส่วนลดมากเป็นพิเศษ แน่นอนว่าเราอาจจะสนใจกลับไปซื้อสินค้าตัวนั้นถ้าได้ส่วนลดที่ดี หรือบางคนอาจจะกำลังหาซื้อบ้านและสนใจจะกู้เงินจากธนาคาร โดยข้อมูลตรงนี้อาจจะช่วยให้ธนาคารทั้งหลายติดต่อมาเพื่อโปรโมทสินค้าของตนเองให้คุณได้เลือกโดยที่ไม่ต้องขยับตัวออกจากบ้านเลย
ในมุมหนึ่งมันเป็นเรื่องที่ยุติธรรมดีถ้าองค์กรใดก็ตามที่เก็บข้อมูลของลูกค้าไปแล้วนำกลับไปใช้เพื่อพัฒนาสินค้าของพวกเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิมสำหรับผู้ใช้งานในอนาคต
แต่ถ้าข้อมูลเหล่านั้นมีการหลุดรอดออกจากองค์กรเหล่านี้ปุ๊บ มันควรจะถูกควบคุมโดยผู้ใช้งานโดยตรง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเราควรจะให้คำขาดว่าอนุญาตหรือไม่ในการแชร์ข้อมูลของเราให้กับบริษัทอื่นๆที่เป็น third-party
ข้อมูลของเราบ่งบอกหลายๆอย่างที่เป็นตัวเรา ข้อมูลเหล่านี้ที่เราจะสมัครบริการใดๆก็ตามควรจะขึ้นอยู่กับเราไม่ใช่คนอื่น ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม นี่รวมไปถึงข้อมูล PII ด้วยเช่นกัน แม้ว่าองค์กรเหล่านี้จะบังคับให้เราใช้ชื่อจริง ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดตามได้ ข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่ควรถูกนำไปใช้เพื่อสร้างผลประโยชน์โดยที่ไม่มีการสอบถามความสมัครใจของเราก่อน
แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกองค์กร (แม้รัฐบาลเองก็ตาม) และบริษัททั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับสิทธิ์ของข้อมูลส่วนตัว แถมทุกที่ก็ไม่ได้ถือมาตรฐานความเชื่อหรือกฎมายเดียวกันทุกที่ และนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นในสถานการณ์แบบนี้เราเองนั้นแหละที่ต้องเป็นคนดูแลข้อมูลของตัวเอง จะหวังพึ่งคนอื่นไม่ได้
สิ่งที่ต้องทำคือคอยระวังและหาข้อมูลเกี่ยวกับบริการที่ตนเอง (และคนที่ใกล้ชิด) ใช้งานอยู่เป็นประจำ อ่านข้อกำหนดของการใช้ข้อมูลส่วนตัวของเราให้ดี มีตรงไหนที่ไม่ชอบมาพากลให้สอบถามและชี้แจงกับตัวบริษัทโดยตรง หรือไม่ก็หาคำตอบจากอินเตอร์เน็ตเพิ่มเติม คนที่เป็นพ่อแม่เมื่อลูกเริ่มใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ก็ต้องระวังเช่นเดียวกัน เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องคอยเตือนและสอนพวกเขาเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลบนโลกออนไลน์
สำหรับผู้ใช้งานทุกคนในเวลานี้ ทางป้องกันที่ดีที่สุดคือระมัดระวังตัวเองในทุกด้าน มันเป็นเรื่องตลกที่น่าเศร้า แต่เราทำได้เท่านั้นจริงๆ