บทเรียนชีวิตจากการเสี่ยงตายล่องแพจากแอฟริกาไปยังยุโรปเพื่อค้นหาชีวิตใหม่
จอร์จ บลู เคลลี่ (George Blue Kelly) (ผู้เขียน) เล่าว่าตอนนั้นเขาแทบจะสบตาแม่ไม่ได้เลย เขารู้สึกเหนื่อยและเบื่อทุกอย่าง เขาสูญเสียพ่อไป สูญเสียพี่ชาย อาชีพของเขาก็ไม่ได้ไปไหน มันเป็นความรู้สึกที่น่าหวาดกลัว เขารู้สึกว่าตอนนี้ไม่มีอะไรดีเลย กำลังใช้ชีวิตอย่างไร้ความหมาย
“ลูกกำลังพูดอะไร?” แม่ตะโกน “ลูกทิ้งความคิดนี้มาหลายปีแล้วนะ!”
เขากับเอดดี้ (Eddie) เพื่อนของเขา ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทาง แม่ของเขารู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ตาม ถ้านับเวลาแล้ว เดือนเมษายนที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นเวลาหกปีแล้วที่เขาออกจากบ้านมาวันนั้น วันที่เขาคุยและตัดสินใจที่จะเริ่มสิ่งที่คนแอฟริกันเรียกว่า “The Journey” กับเอ็ดดี้ เขาเชื่อว่าถ้ารอดชีวิตมาได้ ชีวิตจะดีขึ้น คิดแค่นั้นเขาก็รู้สึกมีชีวิตชีวากว่าที่เคยรู้สึกมาตลอดหลายปี
เช่นเดียวกับการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ มันไม่ได้ง่าย ขณะที่เราเดินทางผ่านทะเลทราย Agadez Gatroen และ Saba ก่อนข้ามทะเลจาก Tripoli ในที่สุด พลังงานและความตื่นเต้นพลุ่งพล่าน ในตอนแรกเริ่มจางหายไป และในไม่ช้าความคิดของเขาก็เปลี่ยนเป็นความปวดร้าวและเสียใจ
และนี่คือบทเรียนชีวิตอันมีค่าที่เขามีโอกาสได้เขียนเล่าในเว็บไซต์ Medium ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
- The best people carry spare blankets (อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อม)
เมื่อผู้คนนึกถึง “The Journey” พวกเขาจะนึกภาพคลื่นซัดกระแทกเข้าหากัน คนเบียดเสียดกันพยายามเอาตัวรอด ส่วนใหญ่แล้วจะจินตนาการถึงทะเลและจิตวิญญาณและเรื่องราวอันเลวร้ายที่เกิดขึ้น แต่ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่ทะเลเท่านั้นที่สามารถฆ่าเราได้ ทะเลทรายก็เช่นกัน และทะเลทรายซาฮาร่าก็ไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่เอาซะเลย
เคลลี่เป็นชาวไนจีเรีย ผู้คุ้นชินกับอากาศร้อน แต่ถึงอย่างงั้นก็ตามทะเลทรายซาฮาร่ายังถือว่าร้อนมาก กลางวันแผดเผาและคืนเหน็บหนาว ต้องสวมหน้ากากป้องกันตัวเองจากทราย รูจมูกเต็มไปด้วยก้อนหินก้อนฝุ่นจับตัวเป็นก้อน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงจากกระแสลมที่เต็มไปด้วยฝุ่น ริมฝีปากแห้งเหือดเหมือนใบไม้แห้ง มีกระดูกและหินกระจัดกระจายในสถานที่ฝังศพสำหรับผู้ที่เสียชีวิต สถานที่ที่ปล่อยให้คุณอธิษฐานต่อพระเจ้าที่คุณเชื่อ พระเยวา โมฮัมหมัด พระพุทธเจ้า อะไรก็ตามแต่
ตอนแรกมีเพียงเขากับเอดดี้เท่านั้น แต่หลังจากนั้นก็มีคนมาร่วมเดินทางเพิ่ม ผู้ชายคนหนึ่งกับเด็กสาววัยยังไม่ยี่สิบดีอีกสามชีวิต พวกเขาเกาะติดกับเคลลี่และเอ็ดดี้เหมือนกับครอบครัวเดียวกันเลย
เช่นเดียวกับทุกการเดินทาง คุณต้องมีเพื่อน คนที่จะพึ่งพาได้ คนที่ช่วยดึงความหวัง คนที่จะช่วยปลุกความกล้าหาญ เคลลี่และเพื่อน ๆ ดูแลกันและกัน โดยกลุ่มเพื่อนของพวกเขาทั้งหกคน เด็กผู้หญิงเหล่านั้นกลายเป็นหนัาที่ที่ที่พวกเขาต้องช่วยกันรับผิดชอบ ทะเลทรายมีเรื่องเล่ามากมาย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กผู้หญิงเหล่านี้ โดยเรื่องการข่มขืนถือว่าเป็นสิ่งที่แทบไม่ต้องกังวลเลย
“คุณไม่สามารถนอนหลับในที่เย็น ใต้ท้องฟ้าเปิดได้!” เราเตือนแล้ว “คุณจะแข็งตาย” ที่เลวร้ายไปกว่านั้น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้พกผ้าห่มมาด้วย แต่พอล – ผู้ชายคนที่สามในทีมของเคลลี่ พกผ้าห่มแยกมาอีกผืน “เอานี่ไปครับ” เขาพูดกับพวกเหล่าเด็ก ๆ ว่า “เอาของผมไป!”
เคลลี่นึกถึงช่วงเวลานั้นบ่อยๆ คิดถึงพอล เขากำลังคิดว่าคนอื่นอาจต้องการบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เขาเป็นคนแบบนี้แหละ
เขารู้สึกขอบคุณเพื่อนให้เขาอยู่ด้วยระหว่างการเดินทาง เคลลี่รู้สึกเหมือนเป็นหนี้ความอยู่รอดกับพวกเขา และเขาแน่ใจว่าคนอื่นสามารถพูดแบบเดียวกันได้ ร่วมกันเรากลายเป็นหกผู้กล้าหาญที่มุ่งหน้าไปยังยุโรป
- Anytime can be 6 o’clock (เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ)
“หากคุณพบสภาพอากาศที่ดีระหว่างการเดินทาง แปลว่าพระเจ้าอวยพรให้คุณ แต่หากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยในการเดินทาง ก็เรียบร้อย”
พวกเขากักตัวอยู่ในอาคารลับเป็นเวลาหลายเดือน อดทนรอจนกว่าอากาศจะแจ่มใส การรับข่าวเรือล่มในทะเลเป็นเรื่องปกติ ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น มันส่งความหวาดกลัวไปยังจิตวิญญาณโดยตรง แต่ไม่มากพอที่จะขัดขวางความตั้งใจของพวกเขา ที่ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่ากำลังจะไปยุโรป
“เตรียมพร้อมไว้! จะหกโมงตอนไหนก็ได้!” ชาร์ลี — คนประสานงาน ที่ถูกจ้างมาเพื่อส่งพวกเขาข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนชอบพูดประโยคนี้เสมอ ทุกช่วงเวลาอาจเป็นช่วงเวลาที่ได้รับแจ้งว่าถึงเวลาขึ้นแพแล้วออกเดินทาง ต้องเตรียมพร้อมเสมอ ไม่เพียงแต่กระเป๋าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหัวใจและสมองด้วย
วลีง่ายๆ นั้น – “เวลาไหนก็หกโมงได้!” — ติดอยู่ในหัวของเขา เขาได้เห็นความเกี่ยวข้องและปรับใช้หลายครั้ง
ยกตัวอย่าง เคยมีครั้งหนึ่งเศรษฐีคนหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าเคลลี่แล้วถามว่า “เขียนโค้ดได้ไหม?” ในเวลานั้นเขาทำไม่ได้ สิ่งเดียวที่เขาใช้เป็นคือ Microsoft Word “ทำไม่ได้ครับ” เขาตอบ แต่ก่อนจะเดินจากไปเศรษฐีคนนั้นให้คำแนะนำแก่เขา “ฝึกทักษะหน่อยเจ้าหนู!”
ต่อมาเขาได้รู้ว่าชายผู้นี้บริหารบริษัทซอฟต์แวร์ที่ประสบความสำเร็จ เขาต้องการช่วยสมาชิกคริสตจักรซึ่งเขาเป็นสมาชิกอยู่ เศรษฐีคนนั้นกำลังพยายามจะช่วยเขานั้นแหละ แต่ในวันนั้นเคลลี่เสียโอกาสไปเพราะยังไม่ได้เรียนรู้บทเรียนที่ชาลีสอน เขาไม่ได้เรียนรู้เรื่องการเตรียมพร้อม และไม่มีโอกาสไหนดีกว่า การมีโอกาสและเราพร้อม สรุปคือ ก่อนการเดินทางเคลลี่ไม่รู้ว่าเวลาไหนๆ ก็สามารถเป็นหกโมงเย็นได้
- There’s something deeper than happiness (ความสุขเป็นเพียงเปลือกผิว)
ไม่ใช่ความสุขหรอกหรือที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย? เขาคิดว่าถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ตอนนี้ก็ยังคงอยู่ที่บ้านในไนจีเรียอยู่แน่นอน
เมื่อเขายืนอยู่บนชายหาด กระแสน้ำพัดเข้ามาทำให้เขาหวาดกลัวเกินกว่าจะขึ้นแพ มันไม่ใช่การแสวงหาความสุขที่ทำให้เขากล้าที่จะขึ้นเรือในที่สุด เมื่อถึงจุดนั้นความสุขอ่อนแอเกินไป มันแทบไม่มีตัวตน มันเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นที่ขับเคลื่อนเขาไปข้างหน้า
เมื่อถึงจุดแตกหักในชีวิตของคนคนหนึ่ง ความปรารถนาที่จะมีความหมายและจุดประสงค์แก่การดำรงอยู่ของตนเอง อะไรก็ตามที่จะดึงตัวเองออกจากความสิ้นหวัง ความตั้งใจที่จะทำอะไรบางอย่างให้กับตัวเอง เพื่อพิสูจน์ว่าชีวิตของเขาและตัวเขาเองไม่ใช่ผู้ล้มเหลว
จนกว่าเราจะพบสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าความสุข เราจะไม่มีวันสำรวจและเข้าถึงส่วนลึกของสิ่งที่เราสามารถทำได้อย่างแท้จริง เราจะไม่รู้ว่าคนที่เราสามารถเป็นได้อย่างแท้จริงเป็นยังไง
สำหรับเคลลี่ การรวบรวมความกล้าหาญที่จะขึ้นไปบนแพลำนั้นในคืนเดือนพฤษภาคมอันหนาวเหน็บ เขาต้องการบางสิ่งที่ใหญ่กว่าความสุข
เขาต้องการบางสิ่งที่มีความหมายมากกว่าการมีอยู่ของตัวเอง
- Death is not as powerful as we think (ความตายไม่ได้ทรงพลังอย่างที่เราคิด)
“ถ้าผู้ใดไม่พบความสงบสุขในความตาย ความกลัวจะกลายเป็นสหายของเขา เพื่อนร่วมห้องของเขา ความไม่อาจเติมเต็มได้สำเร็จ จะเป็นที่พำนักนิรันดร์ของเขา”
เคลลี่เขียนคำเหล่านั้นเมื่อพยายามจินตนาการถึงสิ่งที่อยู่ในหัวในวันนั้น ในที่สุดแพของเขาก็แตะทะเล
หัวใจของเขาหล่นลงไปที่ตาตุ่ม เขาอยากขอกลับบ้าน แต่บ้านนั้นไกลเหลือเกิน “มันจะง่ายไหม ถ้าเรากลับไปหลังจากที่เผชิญสิ่งเหล่านี้แล้ว” เขาถามกับตัวเองซ้ำ ๆ “หรือการเดินต่อไปมันจะง่ายกว่า”
มันเป็นความรู้สึกที่แปลก ที่การตัดสินใจบางอย่างอาจส่งผลให้เราตายได้ เขาตายได้เสมอไม่ว่าจะไปต่อหรือกลับบ้าน
แม้จะได้ยินเรื่องราวมามากมายเกี่ยวกับคนที่สูญเสียความกล้าหาญไป และสุดท้ายตัดสินใจกลับบ้าน เขาคิดว่าเขาเข้าใจมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เข้าใจมัน จนกระทั้งวันนี้
มีเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ถูกส่งไปสอบสวนและสร้างความสัมพันธ์กับชนเผ่าในป่า หลังจากใช้เวลาหลายเดือนซ่อนตัวเพราะกลัวว่าจะถูกชนเผ่าท้องถิ่นฆ่าตาย ในคืนหนึ่ง เขาก็พลิกตัวพลิกตัวอยู่บนเตียง นอนไม่หลับ เขาถามตัวเองว่าเหตุใดจึงพาเขามาที่แห่งนี้
เขามีทางเลือกคือเขาสามารถกลับบ้านอย่างล้มเหลว หรือเสี่ยงที่จะชนะ เมื่อเผชิญกับความตาย
เขาเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในคืนนั้น ในท้ายที่สุด คำพูดเดิมๆ ที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของเขา ก็คือคำเดียวกันกับที่เคลลี่รู้สึก คำพูดที่ช่วยให้เขาหลับตาลงและพูดออกไป —
“เมื่อชีวิตไม่สามารถคุกคามคุณด้วยความตายได้อีกต่อไป ชีวิตจะมีอะไรอีก”
If you lack purpose, you’ll go in circles
(หากคุณไม่มีจุดหมาย คุณจะก้าววนเป็นวงกลม)
กิจวัตรประจำวันของเขา วันนี้ประกอบด้วยการท่องเว็บผ่าน Facebook, Instagram และ Twitter เป็นจำนวนมาก บันทึกรูปภาพ เพื่อโพสต์อะไรใหม่ ๆ ตอบ WhatsApp และตอบกลับด้วยข้อความเดียวกันถึงคนกลุ่มเดียวกัน พูดสั้นๆ ได้ว่าคุยกันแต่เรื่องไร้สาระ
ยิ่งอายุมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็ยิ่งทำให้เบื่อ “เขาเบื่อโซเชียลมีเดีย” เคลลี่มักจะพูดกับเพื่อน ๆ ทุกครั้งที่เพื่อน ๆ กดดันให้เขามีความกระตือรือร้นในการแชท เขาควรโทร 60 วินาทีมากกว่าแชท 60 นาทีหรือเลื่อน Facebook ไปเรื่อย ๆ
หากคุณตื่นนอนตอนเช้าโดยไม่มีจุดมุ่งหมายใดเลย คุณมักจะจบลงด้วยการทำซ้ำนิสัยที่ไม่ก่อประโยชน์ของคุณ คล้ายกับการอยู่ในโลกของ โควิด 19 โรคระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ‘ที่ทำให้ชีวิตที่สูญเปล่า’
ปกติแล้วเพื่อนที่ไร้จุดมุ่งหมายก็อยากพาเราไปกับพวกเขาด้วย เป็นจังหวะที่เราวางบางสิ่งที่คุ้มค่าแก่การตั้งเป้าหมายจนทำให้เริ่มเห็นทิศทางและคุณค่าจากชีวิตของ เราจะสังเกตเห็นข้อผิดพลาดและนิสัยผิดๆ ของเราอย่างรวดเร็วเมื่อเรามีเป้าหมายที่เรากำลังพยายามจะเอาชนะ
วันนี้เคลลี่ไม่อาจภูมิใจกับการตัดสินใจหลายอย่างที่ทำ แต่อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าความปรารถนาที่จะให้ชีวิตมีความหมาย ที่บังคับให้เขาออกจากบ้าน มีคำกล่าวหนึ่งที่บอกว่า —
เราออกจากบ้าน เพื่อเลี้ยงดูที่บ้าน
- What we seek is within (สิ่งที่เราค้นหาอยู่ภายใน)
หกปีกับหนึ่งเดือน นั่นคือระยะเวลาตั้งแต่วันที่เขาข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังยุโรป เขาอายุ 25 ปีเมื่อเขามาถึงอิตาลี วันนี้เคลลี่อายุ 31 ปี
เขาได้เรียนรู้อะไร มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง? เขาได้เปลี่ยนแปลงอะไรไหม เขาจะตัดสินใจแบบเดิมอีกครั้งหรือไม่?
“เกรงว่าจะไม่”
“ความคิดที่ทำให้ฉันมาไกลขนาดนี้ ได้สร้างปัญหาใหม่ที่ความคิดนี้ไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไป” Einstein เคยกล่าวเอาไว้ และเคลลี่ก็คิดถึงคำกล่าวนี้หลายต่อหลายครั้ง
สิ่งที่ Einstein หมายถึงก็คือ เราใช้ความรู้บางชุดในเวลาใดก็ตาม ทั้งหมดที่เราทำเป็นเพียงผลผลิตของทุกสิ่งที่เรารู้ การกระทำและการตัดสินใจของเราเกิดจากความคิดในช่วงเวลานั้น
และถ้าเราไม่ฉลาดขึ้น เราจะทำมันให้ดีขึ้นได้อย่างไงกัน?
ชุดความคิดที่ทำให้เคลลี่ออกจากบ้าน ความคิดทำให้เขาเชื่อว่าความสำเร็จอยู่ไกล ความสุขนั้นสามารถซื้อได้ด้วยเงินที่เพียงพอ มันทำให้เขามีความคิดที่ว่า ทั้งหมดที่ต้องทำคือไปยุโรป และเงินก็เริ่มไหลเข้ามาเอง
“ผมคิดผิดสุด ๆ ไปเลยหล่ะ”
เมื่อเดินทางไปถึงยุโรป เคลลี่ก็ตระหนักว่า สิ่งที่ขาด ที่ทำให้เขายากจนและไม่มีความสุข ไม่ว่าอยู่ที่ไหนมันก็ขาดและไม่มีความสุข มันทำให้เขานึกถึงคำพูดที่ใครคนหนึ่งพูดกับเขาว่า
“ถ้าพาหมูไปอเมริกา มันก็ยังเป็นหมูอยู่วันยังค่ำ”
ความสำเร็จและความสุขไม่ได้อยู่ในดินแดนอันไกลโพ้น มันอยู่ในทุกที่ เราแค่ต้องใช้ความรู้ วินัย และความสม่ำเสมอในการดำรงชีวิต ความต้องการพื้นฐานของความสำเร็จเหล่านี้ใช้ไม่ได้ที่ไหนในโลกบ้างหล่ะ?
หลายปีมานี้ เขามีความอยากกลับบ้าน เคลลี่ตระหนักดีว่าตอนนี้ ความสำเร็จทางการเงินที่เขาต้องการและอนาคตที่ใฝ่ฝัน เขาไม่จำเป็นต้องนั่งแพเพื่อให้ได้มันมา
สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริงคือไม่ต้องข้ามทะเลทรายและแล่นเรือในทะเล แต่เพื่อขยายความคิดของตัวเอง ได้รับทักษะใหม่ มีสมาธิ หันหลังให้กับทุกสิ่งที่ทำ ตั้งเป้าหมายและใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนเป็นวันสุดท้ายในชีวิต
นี่คือความลับที่เขาแสวงหา มันอยู่ในลมหายใจตลอดเวลา แต่เราไม่กล้าที่จะมองหา
ในตอนท้าย เคลลี่กล่าวว่า เราทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ในชีวิต ซึ่งหมายความว่าเราทุกคนต่างมีเรื่องราวที่จะเล่า แต่เรื่องราวจะไร้ค่าหากเราล้มเหลว แต่นั่นเป็นที่ที่เรื่องราวเหล่านั้นมีขึ้นเพื่อสอนเรา
สิ่งที่คุณเคยผ่านและสิ่งที่คุณกำลังประสบมีส่วนทำให้คุณเป็นคุณในวันนี้ ทำต่อไป อย่าหยุด “อะไรก็ตามที่เป็นความยากลำบาก จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น” มันเป็นความเชื่อคร่ำครึโบราณ แต่มันคือความจริง
เรายังคงต้องต่อสู้เพื่อหาทางไปตลอดชีวิต ไม่มีใครอ้างว่ารู้ได้ทุกอย่าง นั่นเป็นเหตุผลที่เรายึดมั่นในคำพูดของ Albert Einstein
“สิ่งที่เรารู้เท่าช้อนชา แต่สิ่งที่เราไม่รู้ยิ่งใหญ่ดั่งมหาสมุทร”