SOPON’S BLOG
“สุขมากขึ้น ร่ำรวยขึ้น และสงบมากขึ้น” : เปิดประสบการณ์ ‘No Spend Year’ ของนักข่าวฟรีแลนซ์ที่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือยกับปี 2024 ที่ตัดค่าใช้จ่ายเหลือแค่ที่จำเป็น
November 28, 2024
ด้านมืดของ ‘บริโภคนิยม’ จากสารคดี ‘Buy Now! The Shopping Conspiracy’ มนุษย์โหมบริโภค โลกจึงกลายเป็นกองขยะ
November 27, 2024
อย่าให้สังคมกำหนดว่าเรา ‘ต้องมีอะไร’ ถึงจะมีความสุข
November 27, 2024
แม้ไม่มีรายได้ แต่รายจ่ายมีทุกวัน : 5 อย่างที่ต้องเตรียมพร้อมด้านการเงิน เมื่อตลาดแรงงานไม่มั่นคง
November 27, 2024
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่วางหินวันละก้อน
November 26, 2024
Facebook Twitter Youtube Instagram Medium Bootstrap
SOPON’S BLOG

Type and hit Enter to search

  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Tech
    • Business
    • Thoughts
    • Science
    • Startups
    • Lifehack
    • People
    • Travel
    • Inspiration
  • Podcast
  • About
  • Contact
  • Follow
    • Facebook
    • Twitter
    • Instagram
    • Blockdit
    • Telegram
InterviewStaff Picks

โลกใบนี้คือห้องทำงาน : คุณบุ๋มบิ๋ม – อัญชลี สุนันต๊ะ

sopons
July 21, 2021 4 Mins Read
297 Views
0 Comments

เมื่อประมาณปีก่อนที่โควิดเริ่มระบาดตอนแรก ๆ ต่ายกำลังพยายามมองหาตลาดเพื่อขายผลิตภัณฑ์การเกษตรจากฟาร์มถึงบ้านลูกค้าโดยตรง เพื่อนต่ายคนหนึ่งเลยแนะนำว่าให้ลองติดต่อน้องบุ๋มบิ๋ม เพราะเห็นน้องเขาชอบโพสต์ขายผักสดจากสวนในกลุ่มกาดหมั๊วซั่วแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผักที่ปลูกโดยชาวบ้านใน โครงการร้อยใจรักษ์ ที่ อ.แม่อาย ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ จ.เชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง เป็นอดีตพื้นที่สีแดง ทางผ่านยาเสพติด ตะเข็บชายแดนพม่า ซึ่งชาวบ้านเมื่อก่อนไม่มีทางเลือกมากนักในเรื่องของอาชีพการงาน จนมีโครงการย่อยของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงที่เอาต้นแบบของดอยตุงมาพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ น้องบุ๋มบิ๋มเข้ามารับหน้าที่ผู้ดูแลและพัฒนาโครงการแห่งนี้ สร้างอาชีพให้กับชาวบ้านเชิงเกษตรและท่องเที่ยว โดยให้นำความรู้และแนวคิดจากหลายๆแห่งมาพัฒนาสังคม ให้มีงานที่ดีขึ้น รายได้มากขึ้น ถูกกฎหมาย และไม่ต้องพึ่งพาการค้ายาเสพติดอีกต่อไป

ต่ายต้องบอกเลยว่าพอได้ยินเรื่องราวของนองบุ๋มบิ๋มก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า “ทำไม?” ทำไมถึงต้องโครงการแห่งนี้ ทำไมถึงเอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงขนาดนี้ ความฝัน ความหวัง จุดประสงค์ ความต้องการของน้องคืออะไร และนั้นคือเหตุผลว่าทำไมต่ายถึงชวนน้องมานั่งคุยกันถึงที่มาที่ไปและส่ิงที่เกิดขึ้นจนกลายมาเป็นเจ้าหน้าที่โครงการในพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้ได้

น้องบุ๋มบิ๋ม : อัญชลี สุนันต๊ะ เกิดและโตที่จังหวัดพะเยา ก่อนเข้ามาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่สาขาบริหารรัฐกิจ คณะรัฐศาสตร์ฯ ระหว่างที่เรียนก็มีทำพาร์ทไทม์บ้าง จนเมื่อเรียนจบก็ได้เปิดคาเฟ่แถวบ้านอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็ได้งานเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ซึ่งตอนแรกนึกว่างานนี้จะได้ออกพื้นที่ แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใชา

“งานที่ทำตอนนั้นมันเป็นงานที่จะมีข้อมูลจากทุกที่เลยเข้ามาในห้องแล้วเราก็ทำงานในห้องสี่เหลี่ยม” ซึ่งเป็นงานที่ไม่ใช่ทางเอาซะเลย เพราะเป็นคนที่รักธรรมชาติ ชอบเดินป่า ชอบเดินทาง ชอบขนาดที่ว่าตอนอยู่ปีสามทักแชทไปหาพรานป่าทางภาคใต้เพื่อขอไปแจมทริปกับเขาโดยไม่รู้จักด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้นยังไม่พ้นสามเดือนแรกดี น้องบุ๋มบิ๋มก็มีแพลนจะไปเดินเขาที่ปากีสถาน ด้วยความพยายามและความอยากไปแล้ว สุดท้ายก็ได้ลาพักได้ไปเดินเขาที่ปากีสถาน ขึ้นไป 2 ยอด โดยการไปปีนเขาแบบนี้ทำให้คุณบุ๋มบิ๋มได้ใช้ชีวิตแบบ Based Camp เลย

ตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเราเองเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น

หลังจากกลับมาน้องบุ๋มบิ๋มก็ยังทำงานต่อ แต่ก็เริ่มมองหางานใหม่ในตอนนั้นคุณบุ๋มบิ๋มก็ได้ไปเจอกับรุ่นพี่ที่รู้จักคนหนึ่งกำลังทำโครงการร้อยใจรัก ซึ่งคุณบุ๋มบิ๋มเห็นว่างานนั้นเป็นงานที่จะต้องได้ลงพื้นที่ก็เลยติดต่อ ลองสมัครไป แล้วก็ได้งาน ซึ่งดูจะตอบโจทย์กับความต้องการของชีวิตมากกว่า

“ตอนนั้นเราเข้ามาเป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิโครงการแม่ฟ้าหลวง เข้ามาอยู่ 2 คน แล้วเขาก็ให้เราไปลองลงหน้างานอื่นๆ เช่น น่าน ดอยตุงร้อยใจรักห้วยซ่าน แล้วก็มีส่วนของกาแฟ ก็เหมือนกับว่าเขาให้เราเลือกลงไปดูหน้างานเองก่อน แล้วเขาจะเลือกเราอีกทีว่าเราเหมาะกับงานตรงไหน”

“สามเดือนปุ๊บ หนูก็ได้อยู่ที่นี่เป็นเจ้าหน้าที่โครงการโดยประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ มีหน้าที่ดูภาพรวมและสรุปรายงานของโครงการ ซัพพอร์ตทีมภาคสนามในด้านข้อมูล เราจะได้เข้าพื้นที่ประมาณสองอาทิตย์ไปๆกลับๆ ตอนนั้นตลาดชุมชนยังไม่ได้สร้างเลย”

“พื้นที่ตรงนี้เขาทำเป็นโครงการย่อยของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงที่เอาต้นแบบพัฒนาดอยตุงมาใช้พัฒนาพื้นที่ และพื้นที่ตรงนี้เมื่อก่อนเป็นพื้นที่ของยาเสพติดที่ไม่มีหน่วยงานรัฐกล้าเข้าไป และจะมีหมู่บ้านหนึ่งเป็นของ “เล่าต๋า” (ที่หลายๆคนเรียกว่าราชายาเสพติดนั้นแหละ) เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีใครกล้าเข้าไป แต่ทีนี้เล่าต๋าโดนจับ ชาวบ้านก็เลยทำอะไรไม่ได้ โดนยึดทรัพย์ โดนอะไรกันจนสุดท้ายพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งดูแลคดียาเสพติดนี้ก็นำแบบโครงการพัฒนาดอยตุงมาใช้ตรงนี้”

“มันยากตรงที่จะต้องปรับมายเซ็ตของชาวบ้าน เพราะว่าที่นั่นทำเกษตรไม่ค่อยดี และก็เขาเป็นคนที่ไม่มีสัญชาติด้วย สิทธิ์อะไรต่างๆเขาก็เข้าไม่ถึง ณ ตอนนั้นการขายยาเสพติดเลยเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ เราก็เลยต้องไปเพิ่มตัวเลือกให้เขา”

“ตอนเริ่มโครงการเข้าไปเราเรียกชาวบ้านมารวมกันที่โรงเรียน ตอนนั้นหนูยังไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นะคะ เขาเล่าว่าก็พาชาวบ้านเข้าไปทั้งหมด แล้วเขาก็ประชาคมชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าจะพัฒนาอะไรให้บ้าง คุยกันใครเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร”

ตอนนั้นพระองค์ภาตรัสว่า อยากให้เรามาเจอกันด้วยรอยยิ้มมากกว่าเจอกันในศาล ใครที่เลิกขายยาเสพติดตอนนี้ยังทัน

ตอนนั้นชาวบ้านก็เริ่มโอเคกับทางเลือก คุณบุ๋มบิ๋มเล่าว่าการที่จะพัฒนาหมู่บ้านตรงนั้นเริ่มแรกต้องเริ่มจากเรื่องน้ำ 

“ชาวบ้านห้วยซ่านเป็นหมู่บ้านต้นน้ำเราเลยต้องจัดการกับต้นน้ำก่อน เพราะน้ำสำคัญที่สุดเพราะทุกคนใช้น้ำร่วมกัน เรากับชาวบ้านก็เลยร่วมกันทำประปาภูเขาก็คือดึงน้ำจากข้างบนลงมา”

“น้ำเสร็จก็จะเป็นการเกษตร ตอนนั้นก็มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่เข้ามาให้ความรู้ในการปลูกลิ้นจี่ ฟักทอง มะม่วง ก็คือเอาผลิตผลทางการเกษตรมาทำให้มันได้คุณภาพขึ้น เราจะไม่คิดหรือเอาผักชนิดใหม่มาให้เขาปลูกเราจะเอาสิ่งที่เขามีอยู่แล้วมาทำให้มีคุณภาพขึ้น”

“ตอนนี้ที่เขาทำกันที่ได้ตัวเงินกันก็คือ เก๊กฮวย เก๊กฮวยแห้ง และทำข้าวอีโต เป็นข้าวพันธ์พื้นเมืองที่ชาวบ้านที่นี่นิยมปลูกกันมานาน เม็ดเล็กๆ เหนียว นุ่ม คล้ายข้าวพันธุ์ญี่ปุ่น”

แต่ความแปลกแยกและความกดดันในการทำงานในพื้นที่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยนั้นมีความท้าทายอย่างมาก

“ตอนนั้นเขาก็ให้เราเข้าไปอยู่ในชุมชนอยู่ในบ้านของชาวบ้านห้วยซ่านเลย และด้วยความที่บ้านเขาเหมือนคนจีนนิดนึง บ้านแต่ละหลังก็จะเชื่อมกันหมด แล้วเราก็ไปอยู่ในบ้านชาวบ้าน เดือนแรกเราเข้าไปก็เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ของลีซอพอดี เขาก็จะมีเทศกาล(ตรุษจีน) ที่จะเฉลิมฉลองกันประมาณ 7 วัน ในทุกๆปี จะมีการรวมกันของชาวบ้านในหมู่บ้านเต้นรำตามบ้านต่างๆ ทั้งวันทั้งคืน ให้คนมาจับมือและเต้นกัน”

“จำได้ว่าคืนแรกที่ไประหว่างที่อยู่ในงานมีเหตุการณ์ปืนลั่น และโดนที่ขาเจ้าหน้าที่ทะลุเลย อีกวันก็ทะเลาะวิวาดกัน โอโห้…อึ้งไปเลย”

“ตอนที่เราอยู่เราไม่ได้รู้ลึกอะไรขนาดนั้น มีคนบอกเราว่าอย่าออกไปไหนตอนกลางคืนนะตอนสี่ทุ่มก็ให้ปิดประตู ล็อคประตูเลย”

“ตอนนั้นก็ไปใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้านได้ประมาณหนึ่งปี จนเขาสร้างบ้านพักให้เจ้าหน้าที่ด้านล่างเสร็จ หมู่บ้านนี้เมื่อก่อนน่ากลัวมากๆ ชาวบ้านเขามาเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนถ้าใครทำอะไรผิด เล่าต้าก็จะจับมัดติดรถแล้วก็ลากขึ้นไปซ้อมบนภูเขา พี่ที่ทำงานด้านป่าไม้เขาก็บอกว่าเขาไม่เคยขึ้นไปหมู่บ้านนี้เลยด้วยซ้ำ”

“ตอนนั้นเราก็พยายามทำกิจกรรมร่วมไปกับเขา เขาชวนไปกินข้าว แต่งชุด ทำกิจกรรมประเพณีต่างๆในหนึ่งปีจะมีพิธีต่างๆเยอะมาก เราก็ไปกับเขา”

“ใช้เวลาไม่นานนะคะ ในการปรับตัวด้วยความที่เราก็เคยไปแต่ละที่มาเยอะด้วย เราเลยอยู่ได้ จริงๆเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาพร้อมกันอยู่ออกไปก็มีเยอะ ตอนนี้เหลือแต่หนูอยู่ที่นั่นที่เป็นเจ้าหน้าที่โครงการ ตอนนี้หนูก็ได้ดูแลเยอะขึ้นกลายมาเป็นย้ายมาอยู่เชียงใหม่ มีสำนักงานอยู่ที่ดอยตุงเลย”

แต่ว่าการทำงานที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่สะดวกสบาย บางคนอาจจะบอกว่าได้อยู่กับธรรมชาติ ได้ทำงานที่เหมือนกับเป็นความฝันของหลายๆคน มันเป็นเพียงด้านเดียวของเหรียญเท่านั้น

“จริงๆแล้วที่ใช้ชีวิตอยู่ก็ไม่ได้สบายหรือสนุกเลยนะคะ ทุกวันนี้การใช้ชีวิตก็ลำบากอยู่ น้ำไม่ไหว ไฟดับสัญญาณโทรศัพท์ก็จะไม่มี เคยมีอยู่วันหนึ่งต้องอยู่แบบไม่มีอะไรเลย น้ำก็แบบว่าดำเลย”

ถ้าถามว่าทำไมเราทำอยู่… ด้วยความที่เราทำงานและได้อยู่กับชาวบ้านสัมผัสกับชาวบ้านมากกว่าดูเอกสารภาพรวม เราได้ดูรับการรับซื้อผลผลิตและเราก็เห็นตั้งแต่แรกว่าเขาตั้งใจปลูกและวันที่เขาเอามาขายให้เราและรับเงินไปเป็นก้อนเขาก็ดีใจ อย่างฟักทองหรือเห็นชาวบ้านออกมาขายของที่ตลาด เราก็ดีใจ

“ตอนนี้เราเห็นพวกเด็กๆที่ออกไปทำงานในเมือง เริ่มอยากกลับมาทำงานที่บ้านมากขึ้น”

“ลักษณะการทำงานมันไม่ได้กดดัน มันคือการทำงานแบบใช้ชีวิต หนูก็เหมือนได้ใช้ชีวิตกับชาวบ้านและหนูได้เป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของเขา ไปช่วยขาย ช่วยให้คำปรึกษา”

“โครงการที่นี่ปักหลักไว้ 12 ปี วางปลายทางเป็นการท่องเที่ยว มันมีโอกาสที่จะไม่เวิร์กและอาจกลับไปทางเดิม เราก็เลยต้องปั้นเด็กในพื้นที่ เผื่อว่าวันหนึ่งเราไม่อยู่เขาก็จะต้องทำได้ ให้เขารู้ว่าที่เขาทำมันมีประโยชน์และมีความหมาย เขาก็เหมือนได้พัฒนาบ้านเขาไปด้วย หนูอยากทำให้จบโครงการค่ะ นั้นคือเป้าหมายที่วางเอาไว้ส่วนตัว”

ความเปลี่ยนแปลงในช่วง 2 ปีของโครงการนี้ตั้งแต่น้องบุ๋มบิ๋มเข้ามามีความเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ชาวบ้านมาร่วมมือกันและมีคนรู้จักมากขึ้น แต่ก็ยังมีอะไรให้ทำอีกมาก

“หนูอยู่มาสองปีรู้สึกว่าพัฒนาไปไวมาก จากแต่ก่อนอย่างตลาดที่เมื่อก่อนเขาขายอยู่ข้างทางตรงทางโค้ง รถก็จะจอดไม่ได้ เราก็ไปจัดที่ให้ และกว่าจะทำได้ เราต้องมาจัดพื้นที่แบ่งโซนจัดพื้นขายของ ช่วงนั้นทำให้เราตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เลย เพราะตอนนั้นกลับกรุงเทพไปเราก็ไม่ได้ทำอะไร”

“จริงๆด้วยความที่เราทำงานกับคนเราเลยทำงานยาก แล้วชาวบ้านที่นั่นมีทั้งหมด 9 เผ่า และมีลักษณะที่แตกต่างกันไป เราก็ต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองโดยการที่เราปล่อยผ่าน ไม่ใส่ใจบ้าง เพราะถ้าเราใส่ใจเยอะเกินไป เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี อย่างเช่นการตลาด ที่ชาวบ้านเขาอาจจะไม่เข้าใจกลไกตลาด อย่างปีที่แล้วเราขายเก๊กฮวยราคาเท่านี้ ปีต่อมาเราต้องปรับราคาลง เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลดราคา เราก็อธิบายว่าเศรษฐกิจมันเป็นอย่างนี้ บริษัทต่างๆก็ไม่ซื้อเรา เขาก็อาจจะไม่เข้าใจแต่เราก็ซื้อเขานะ”

“มีอีกที่หนึ่งที่หัวแม่คำ ที่นั่นก็มีต้นตระกูลของเล่าต้า ตรงนั้นเขาก็ปลูกเก๊กฮวยเหมือนกัน เขาก็ทำมาเป็นสิบๆปีแล้ว ตอนนี้ชาวบ้านเก็บเก๊กฮวยไว้ประมาณสองตัน ซึ่งชาวบ้านตรงนั้นเขาก็เก็บรักษาได้ดีแค่เขาไมมีตลาด ตอนนี้เราก็ต้องช่วยเขาดูตลาด”

“ที่เขาไม่ซื้อเก๊กฮวยเพราะตอนนี้นำเข้าถูกกว่า ภาษีถูกกว่า ตอนนี้เขาก็เลยดึงมหาวิทยาลัยที่ส่งเสริมไปและก็ขายให้กับบริษัทในไทยนี่แหละ เราแค่ไปดูว่าเป็นยังไงแล้วก็กลับมา”

“ตอนนั้นเราก็เลยดึงตลาดมาให้เขาเลย ก็คือเราก็ให้ชุมนุมที่เขาดูแลเนี่ยมาคุยเลยว่าจะซื้อแบบไหนเกณฑ์ยังไง ราคากี่บาท แล้วเราก็ค่อยๆถอยออกมาให้เขาซื้อขายกันแบบเป็นธรรม โดยเราก็เป็นคนดูแลสัญญาไม่ให้เขาโกงกัน”

ทุกอย่างที่เราบอกกับตัวเองตลอดก็คือเราทำอะไรไม่เป็นเลย หลายคนเข้ามาโดยอิงกับหลักการที่เรียนมา แต่พอมาอยู่ในพื้นที่จริงๆอ่ะพี่ มันใช้ไม่ได้เลย

“ด้วยสภาพภูมิสังคมที่แตกต่างกันมาก อย่างเราอยู่ในเมือง อยู่ในชนบทก็อีกแบบหนึ่ง ในเมืองทุกอย่างสบายอยากได้อะไรสั่งได้ แต่พออยู่ในเมืองอยากทำอะไรก็ต้องปลูก ไปเซเว่นทีคิดแล้วคิดอีกเพราะอยู่ไกลมาก”

ภาพของคนในเมืองที่มีความฝันว่าอยากจะใช้ชีวิตชนบทและอินกับธรรมชาติ สำหรับคนที่อยู่ตรงนั้นจริงๆ มันอาจจะไม่ใช่แบบนั้น

“ถ้าเรามีทุนอยู่แล้วเราก็ทำได้ อยู่แบบพอเพียง แต่ชาวบ้านเขาอยู่แบบนั้นมาตลอดเขาจะได้เงินจากไหน”

ทุกคนนี้คนในเมืองไปเที่ยวชนบทเยอะและก็ไม่อยากให้ชาวบ้านเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต แต่เหมือนเราไปคิดแทนเขาชาวบ้าน เขาก็อยากมีเหมือนคนในเมือง ทุกวันนี้เขาอยากมีเซเว่น แต่คนในเมืองก็จะเอาแต่คิดว่าไม่ต้องไปเปลี่ยนวิถีชีวิตเขาหรอก

“เวลาเราเห็นแบบนี้ก็เหมือนเราเป็นคนสองโลก แต่พอเราทำเยอะขึ้น แม้เราจะเข้ามาในเมืองแล้วมันสบาย เราก็ยังอยากกลับไปช่วยเขาอยู่ดีเพราะมันทิ้งไม่ได้ — เพราะความรับผิดชอบและความชอบของเราด้วย”

เราได้ทำหลายอย่างและได้ทำทุกอย่าง เราได้เรียนรู้ทุกอย่างเลย เหมือนโลกคือห้องทำงานของเราเลย

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คิดไหมว่าเราจะมาอยู่ตรงนี้ แล้วเห็นการเติบโตในด้านไหนบ้างของตัวเอง

“ตอนนั้นไม่คิดเลยว่าเราจะมาอยู่ตรงนี้ได้เพราะตอนที่ไปสมัครงานที่กรุงเทพได้เราก็คิดว่าเราจะได้ทำงานแบบนั้น คิดว่าจะได้ลงพื้นที่เป็นพักๆ แต่ก็ไม่ได้ทำ พอมาทำงานนี้ก็เปลี่ยนไปอีก มันก็ท้าทายไปอีกแบบเลย”

เราเข้มแข็งขึ้นและเราก็มองโลกกว้างขึ้น เราไม่ได้ตัดสินอะไรจากแค่แว้บเดียวและเห็นอกเห็นใจคนอื่นเยอะขึ้น

พูดถึงเพจเดินทาง I gonna lala และการทำงานร่วมกับ The North Face

“แม้ว่าตอนนี้จะเดินทางไม่ได้ เพจเดินทาง I gonna lala ก็ยังทำต่อไปค่ะ แม้ยังไม่มีเวลาทำมากเท่าไหร่ ตั้งเป้าไว้ว่าอยากไปที่ปากีสถาน จริงๆจองไว้แล้ว แต่ด้วยโควิด -19 เราก็เลยต้องเลื่อนไปทั้งหมด ทั้งญี่ปุ่น ทั้งเนปาลก็ไม่ได้ไป แต่ญี่ปุ่นได้ไปอยู่นะคะไปเดินเขา ไปเที่ยวที่เขาไม่เที่ยวกัน แล้วชาวบ้านที่เขาอยู่ก็คนละแบบกับที่เราอยู่นะคะ”

“เรื่อง The North Face ก็น่าสนใจ ตอนนั้นหนูอยู่ปี 3 แล้วตอนนั้นไปเดินป่า ตอนนั้นมีคนถ่ายรูปหนูไปด้วย ตอนนั้นหนูใส่ชุดของ North Face แล้วเขาก็เอาไปลงใน IG แล้วพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่เขามา เขาก็เคยไปเดินทางกับพี่มิ้น I Roam Alone มา แล้วพี่ผู้ชายคนนี้ก็ได้สปอนเซอร์มา แล้วจากนั้นเขาก็เห็นหนูใน IG พี่ผู้ชายคนนั้น เขาก็เลยติดต่อหนูมาว่าจะสนับสนุนอุปกรณ์เวลาที่มีแพลนจะไปที่ไหน แล้วก็ถ่ายรูปมาให้เขา”

“แต่การไปแบบนี้ก็กดดันนะคะ แต่ด้วยความที่เอาสปอนเซอร์มา เราก็มีความกดดัน รู้สึกเกร็งๆ แต่ก็สนุกไปอีกแบบ”

ถ้ามีอะไรที่จะฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ๆที่กำลังตามหาความฝันหรืออยากลองทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการแต่ยังไม่กล้าทำ?

ถ้าเราคิดว่าชอบ เราก็ลองทำ เราไปและเราก็จะรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบ เราไม่ควรตั้งเป้าว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้อย่างเดียวแล้วมันจะดี เราต้องทำหลายๆอย่างแล้วเราจะรู้เองว่าเราเหมาะอันไหน

“ไม่รู้นะคะ เราแค่กล้าที่จะพาตัวเองไปอยู่ในที่ต่างๆ ในๆทุกเรื่องมันจะมีคำว่า “บังเอิญว่า” โลกมันจะเชื่อมกันทุกอย่างมันจะมีคำว่า “บังเอิญว่า…” อยู่เสมอ

ช่องทางติดตาม

เฟซบุ๊ค : I gonna lala
อินสตราแกรม : http://www.instagram.com/Bumebime

Tags:

IgonnalalaInterviewคุณบุ๋มบิ๋มอัญชลี สุนันต๊ะแม่อายแรงบันดาลใจโครงการร้อยใจรักษ์โครงการหลวง

Share Article

Follow Me Written By

sopons

Writer / Columnist (Salmon Books, 101.world, The Matter, Beartai, The People, a day Bulletin, CapitalRead, GQ, Billion Brands)

Other Articles

Previous

การสร้างข้อความทักทายเพื่อนใหม่ใน Line Offlicial Account

Next

 งีบหลับไม่ใช่การหนีปัญหา

Next
July 22, 2021

 งีบหลับไม่ใช่การหนีปัญหา

Previews
July 19, 2021

การสร้างข้อความทักทายเพื่อนใหม่ใน Line Offlicial Account

Related Posts

People Pleaser : เป็นทุกอย่างให้ทุกคน ยกเว้นเป็นตัวเอง

by sopons
February 17, 2022

จากเด็กเสเพลจนกลายเป็น ‘เต๋อตำยำระเบิด’

by sopons
October 23, 2021

จากนักดนตรีแจ๊ส เจ้าของ North Gate Jazz Bar หันมาปลูกข้าว สร้างนวัตกรรม เพื่อยกระดับข้าวไทย – “โอปอ – ภราดล พรอำนวย”

by sopons
May 26, 2021

อีโก้คือศัตรู ปัญหาคือทางออก : วัฒน์ธนากร คำสุข กับบทเรียนและการเติบโตของ Flips & Flips Homemade Donuts

by sopons
May 6, 2021
SOPON’S BLOG

STUFF WORTH READING

© 2022, All Rights Reserved.

Quick Links

  • Contact
  • About

Category

  • Self-Improvement
  • Technology
  • Business
  • Thoughts
  • Psychology

Follow

Facebook Twitter Youtube Instagram
  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Business
    • Technology
    • Inspiration
    • Books
    • Life Style
    • Startups
    • Thoughts
    • Travel
  • About
  • Contact