ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ความรักเปลี่ยนสมองของเรายังไงบ้าง
มนุษย์ส่วนใหญ่แสวงหาสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” และเมื่อรู้สึกถึงก็จะมักจะเกิดอาการ Love sick ไปจนถึงการผูกพันธ์ทางใจอย่างลึกซึ้ง — ความรักที่ดีจะมีประโยชน์มากมายต่อชีวิตของเรา แต่ก่อนที่รักจะเปลี่ยนชีวิต ความรักเปลี่ยนสมองเรายังไงบ้าง?
ความรักเป็นหนึ่งในสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด ที่เราหวังว่าจะรู้สึกได้ ความรักคือธรรมชาติที่เหนือธรรมชาติ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความรักสามารถส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อระบบประสาทของเรา หรือพูด ง่าย ๆ ก็คือ ความรักเปลี่ยนสมองของเราได้จริง ๆ
สารสื่อประสาท และโมเลกุลส่งสัญญาณที่สื่อสารข้อความระหว่างเซลล์เป็นหนึ่งในหลาย ๆ การเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ร่างกายของเราเมื่อเราเริ่มตกหลุมรัก
บทความนี้คือการพยายามรวบรวมความเข้าใจพื้นฐานว่าสารสื่อประสาทเหล่านี้ทำงานอย่างไร และตัวเราเองจะจัดการกับความปั่นป่วนทางอารมณ์ที่มาพร้อมกับการตกหลุมรักได้อย่างไรบ้าง
ต่อไปนี้คือสารสื่อประสาท 3 ชนิดและการเปลี่ยนแปลงที่คุณควรคำนึงถึงเมื่อความรู้สึกของคุณกลายเป็นน้ำมัน และใครคนนั้นดูเหมือนกับไฟอันร้อนรุ่ม
- Serotonin (สารเคมีชนิดหนึ่งภายในร่างกายที่มีบทบาทสำคัญกับการทำงานของสมองและระบบประสาท ส่งผลต่อกระบวนการคิด พฤติกรรม และอารมณ์)
ในระยะแรกของการดึงดูดกันระบบเซโรโทนเนอร์จิก(serotonergic system) จะทำงานอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษาเรื่องหนึ่ง(One of study) วิจัยคน 20 คนที่เพิ่งตกหลุมรัก (<6 เดือน) และวัดความเข้มข้นของ serotonin transporters ในเลือดของพวกเขา ผลการวิจัยพบว่าการหลั่งของสารเหล่านี้มีระดับที่ต่ำสำหรับผู้ที่มีความรัก เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีความรัก ข้อมูลนี้มีความสำคัญเนื่องจากเชื่อว่าระดับเซโรโทนินในระดับต่ำจะสัมพันธ์กับการแสดงพฤติกรรมที่คล้ายกับโรค OCD (โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ obsessive-compulsive disorder(OCD))
สิ่งนี้จะช่วยอธิบายว่าทำไมเราถึงรู้สึกว่ามันจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับความรักครั้งใหม่
จากมุมมองเชิงวิวัฒนาการ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้มีเหตุผล เนื่องจากความอยู่รอดของเราอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็นในการสืบพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงในระบบเซโรโทเนอร์จิกของเราจะช่วยผลักดันให้คู่ชีวิตสามารถไล่ตามกันและกันได้ เนื่องจากประสาทเคมีของเราค่อนข้างผลักดันเราไปสู่ความผูกพัน
- Dopamine (ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท (neurotransmitter) )
เช่นเดียวกับระดับซีโรโทนินต่ำ โดปามีนยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในช่วงแรกของความรัก เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนพฤติกรรมที่ทำให้เรารู้สึกดี คล้ายกับการได้รับของขวัญหรือรางวัล สิ่งนี้มันเปิดใช้งานเพื่อดึงดูดใจ เช่นเดียวกับเมื่อบริโภคขนมที่มีน้ำตาล ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีเซ็กส์ เสพยา หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกดี ทุกครั้งที่เรามีความสุข ระดับโดปามีนจะเพิ่มขึ้น
การที่เรารักใครสักคน สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง “ช่วงฮันนีมูน” เมื่อโดปามีนพุ่งสูงขึ้น การแสดงออกถึงความรักของพวกเขาจะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่อคู่ของเราตลอดจนจินตนาการ / ฝันกลาง เพื่อตอกย้ำภาพจำของพวกเขาว่าเป็นนี่ คือคนที่เราต้องการ
ระบบการให้รางวัลของเราออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีต่อไป เพื่อที่เราจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากมันอีกครั้ง ผ่านการสร้างความอยาก ค่อนข้างเร็ว ซึ่งไม่เหมือนกับที่พบในการติดยา โดปามีนเป็นศูนย์กลางของกระบวนการนี้
- Oxytocin (ฮอร์โมนแห่งความรักความผูกพัน)
Oxytocin ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ฮอร์โมนแห่งความรัก” เนื่องจากมีความสำคัญในการช่วยให้เราผูกพันกัน ในการศึกษาหนึ่ง การให้ออกซิโตซินช่วยเพิ่มพฤติกรรมทางสังคม เช่น การจ้องมอง การเอาใจใส่ และความไว้วางใจ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อเราตกหลุมรักและแสดงพฤติกรรมรักใคร่ ระดับออกซิโตซินของเราจะเป็นไปตามนั้น
มีการศึกษาใหญ่ (A big study) กับบุคคล 160 คน; 60 คู่เป็นคู่รักใหม่ พวกเขาได้วัดระดับออกซิโตซินเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม พวกเขาตั้งสมมติฐานว่าคู่รักใหม่จะมีความเข้มข้นของ “ฮอร์โมนความรัก” ในพลาสมาที่สูงกว่ามาก และไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาพูดถูก นอกจากนี้ การติดตามผลคู่ทดสอบที่อยู่ด้วยกันแสดงให้เห็นว่าระดับเหล่านี้ไม่ได้ลดลงในระยะยาวเช่นกัน
อาจกล่าวได้ว่าสารสื่อประสาทนี้มีส่วนสำคัญต่อความสามารถของเราในการรักผู้อื่น และเนื่องจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีความจำเป็นต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเรา สารสื่อประสาทจึงมีบทบาทสำคัญในสุขภาพของเราเองด้วย
เมื่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในตัวเรา จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมความรักจึงเป็นประสบการณ์ที่น่าเกรงขาม นอกจากนี้เรายังเห็นว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะรู้ว่า เหตุใดเราจึงถูกครอบงำโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อเราทราบถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เหตุใดเราจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่กับพวกเขาจนแทบไปไหนไม่ได้ เหตุใดเราจึงรู้สึกดีมาก ก็เพราะว่าอารมณ์และความเป็นอยู่ของเราได้รับผลในทางบวกจากการมีอยู่ของความรักยังไงหล่ะ (แน่นอนว่าเมื่อสุขภาพดีแล้ว)