SOPON’S BLOG
“สุขมากขึ้น ร่ำรวยขึ้น และสงบมากขึ้น” : เปิดประสบการณ์ ‘No Spend Year’ ของนักข่าวฟรีแลนซ์ที่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือยกับปี 2024 ที่ตัดค่าใช้จ่ายเหลือแค่ที่จำเป็น
November 28, 2024
ด้านมืดของ ‘บริโภคนิยม’ จากสารคดี ‘Buy Now! The Shopping Conspiracy’ มนุษย์โหมบริโภค โลกจึงกลายเป็นกองขยะ
November 27, 2024
อย่าให้สังคมกำหนดว่าเรา ‘ต้องมีอะไร’ ถึงจะมีความสุข
November 27, 2024
แม้ไม่มีรายได้ แต่รายจ่ายมีทุกวัน : 5 อย่างที่ต้องเตรียมพร้อมด้านการเงิน เมื่อตลาดแรงงานไม่มั่นคง
November 27, 2024
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่วางหินวันละก้อน
November 26, 2024
Facebook Twitter Youtube Instagram Medium Bootstrap
SOPON’S BLOG

Type and hit Enter to search

  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Tech
    • Business
    • Thoughts
    • Science
    • Startups
    • Lifehack
    • People
    • Travel
    • Inspiration
  • Podcast
  • About
  • Contact
  • Follow
    • Facebook
    • Twitter
    • Instagram
    • Blockdit
    • Telegram
InterviewStaff Picks

MOOH Homemade : ร้านโดนัทโฮมเมทที่คิดต่าง กับการเติบโตแบบไม่ต้อง ‘ทะเยอทะยาน’ ตามกระแสโลก

sopons
August 19, 2021 4 Mins Read
252 Views
0 Comments

การกลับมาพบกันอีกครั้งของต่ายและน้องหมูแนม–วรนิตย์ ปิงเมือง กับน้องเกี๊ยก–วราวัชร์ สีหะประเสริฐ  ร้านโดนัทสุดฮ๊อตย่านนิมมาน MOOH – ร้านโดนัทเล็กๆที่ง่ายต่อการตกหลุมรัก

หลังจากที่ต่ายเจอน้องหมูแนมและน้องเกี๊ยกเมื่อประมาณสองปีก่อน เราก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลยเพราะต่างคนก็ต่างยุ่งกันมากๆ น้องๆทั้งสองก็รับมือกับการเติบโตของร้านที่เรียกว่าร้อนแรงสุดๆในช่วงที่ผ่านมา ส่วนต่ายก็….เอ่อ…ไปทำอะไรหว่าจำไม่ได้ละ

แต่การกลับมาเจอกันครั้งนี้เหมือนเป็นจังหวะที่ดีด้วย เพราะต่ายเองก็เริ่มกลับมาทำคอนเทนท์มากขึ้น น้องทั้งสองก็เพิ่งกลับมาเปิดร้านใหม่อีกครั้งหลังจากรีโนเวทเพื่อรองรับลูกค้าที่อยากมานั่งทานที่ร้านให้มากขึ้นด้วย

นอกจากเรื่องร้านที่เปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่ต่ายสัมผัสได้หลังจากคุยกันเมื่อครั้งแรกคือน้องๆเติบโตขึ้นเยอะมาก ทั้งแนวความคิด ความชัดเจนถึงเป้าหมายในการทำธุรกิจ จากตอนแรกที่น้องบอกว่ายังไม่รู้เลยว่ามันจะไปทางไหน แต่ตอนนี้เหมือนว่าจะมั่นคงและแน่วแน่กับเส้นทางที่ทั้งคู่เลือกแล้วว่าอยากเป็นร้านโดนัทเล็กๆที่ตื่นขึ้นมาทำขนม ขายให้กับลูกค้าขาประจำ มีความสุขแบบเรียบง่ายและเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า

การตกตะกอนทางความคิดแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่ายและการพูดคุยกันวันนี้มีเรื่องราวที่มากมายเต็มไปหมด ทั้งเสียงหัวเราะและอุปสรรคพายุ วันนี้อยากพาทุกคนอ่านเรื่องราวของร้าน Mooh Homemade แบบเต็มอิ่มกันอีกสักครั้งหนึ่ง

น้องหมูแนมและน้องเกี๊ยกจบมาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ทั้งคู่เลย ไม่ใช่คนท้องถิ่นด้วย แต่ทำไมถึงเลือกมาเริ่มต้นตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เชียงใหม่กันหล่ะ

“ไม่ได้จบที่นี่แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่นี่ด้วย แนมเป็นคนเชียงราย เกี๊ยกเป็นคนศรีสะเกษ ตอนแรกแนมเรียนจบแล้วอยากเปิดร้านแต่เราไม่มีประสบการณ์การอะไรเลย เราก็เลยอยากไปทำงานเป็นลูกจ้างของเขาก่อน”

ถ้าย้อนกลับไปทั้งคู่เป็นแฟนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ฝั่งบ้านของน้องหมูแนมจะทำงานข้าราชการส่วนฝั่งของน้องเกี๊ยกจะทำอาชีพค้าขาย

ก่อนหน้านั้นมันเป็นช่วงที่คาเฟ่เริ่มเป็นกระแสขึ้น แนมก็สนใจด้านนี้เขาก็ไปทำงานพาร์ทไทม์ที่คาเฟ่ต่างๆ เกี๊ยกก็รู้ละว่าแนมน่าจะชอบทางนี้ ตอนนั้นเกี๊ยกก็ไม่ได้คิดหรอกนะครับว่าจะทำอะไร เพราะบ้านเกี๊ยกก็มีธุรกิจส่วนตัวตอนแรกก็อยากกลับไปช่วยที่บ้าน

“พอแนมจบก่อน แนมก็ย้ายมาทำที่เชียงใหม่ ตอนนั้นแนมยังไม่มีความรู้ด้านกาแฟและขนมเลย แนมก็เลยไปทำงานเป็นบาริสต้า”

“ก่อนหน้านั้นโซเชียลมันหนักมาก เรื่องการกระตุ้นให้เด็กจบใหม่ต้องทำ SME เปิดคาเฟ่ ตอนนั้นเราก็ไม่แน่ใจว่าเราชอบมันจริงหรือเปล่า เราจะอยู่กับมันได้หรือเปล่า”

“แต่พอเกี๊ยกเรียนจบเกี๊ยกก็ยังทำงานธนาคารที่กรุงเทพ ทำอยู่ 10 เดือน”

“ตอนแนมทำคาเฟ่แนมก็ทำงานอยู่ที่หน้าร้านทั้งหมดเลยค่ะ เป็นบาริสต้า เสิร์ฟขนม อะไรมากกว่าไม่ได้เข้าครัวเลย”

ระหว่างที่เกี๊ยกทำงานที่กรุงเทพ เกี๊ยกก็ไปๆมาๆเชียงใหม่กรุงเทพ บางทีก็ไม่อยากกลับ เราก็เริ่มชอบเชียงใหม่แล้วตอนนั้น แล้วตอนนั้นมันก็เป็นระยะที่จะต้องต่อสัญญาเป็นพนักงานประจำแล้ว เขาจะปรับให้เราเป็นประจำ ถ้าเราถูกปรับเป็นพนักงานประจำก็แปลว่าเราต้องอยู่ยาวแล้ว มันเหมือนเป็นสัญญาจ้าง แต่เราก็ยื่นเรื่องลาออกก่อนหน้านั้น ตอนนั้นเราทำงานเพื่อให้เรารู้ว่าเราไม่ชอบมันจริงๆ

“ตอนนั้นตื่นมาก็เลื่อนนาฬิกาปลุก เจอรถเยอะ เร่งรีบ เรารู้สึกว่าเราไปกับมันไม่ไหว” เกี๊ยกเล่าให้ต่ายฟัง

“แนมเรียนจบก็ไปทำคาเฟ่ที่เชียงรายก่อนทำร้านกาแฟที่เชียงรายสักแป๊บนึง เสร็จแล้วก็ย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ตอนนั้นเราก็อยากออกจากเซฟโซนไม่อยากอยู่ที่บ้าน อยากทำงานที่อื่นดู เพราะตอนนั้นเราต้องเสียค่าห้องเองอะไร จะได้ลองจะจัดการชีวิตของตัวเอง”

พอเป็นเชียงใหม่แล้วคิดว่ามันแตกต่างไหมระหว่าง เชียงรายและกรุงเทพ

“เชียงรายช้า ช้ามากกกก ทุกคนจะรู้จักกันถ้อยทีถ้อยอาศัยกันหมดเลย — แต่เชียงใหม่ก็ไม่ได้เร่งเกินไป และมีทุกอย่างเหมือนที่กรุงเทพมีสถานที่ท่องเที่ยว ธรรมชาติก็มี เชียงใหม่เลยตอบโจทย์ช่วงอายุเรา ณ ตอนนี้ เรายังอยากกินของอร่อยๆ เราอยากไปเที่ยวออกกำลังกาย หรือได้แรงบันดาลใจ เจอคนเก่งๆ ลูกค้าหลายรูปแบบ”

“ปกติเกี๊ยกเป็นคนทำอะไรตามความรู้สึกตัวเองตลอด และตอนนั้นมาอยู่เชียงใหม่เราก็อยากอยู่ต่อ ตอนนั้นเราคบกันด้วยแล้วเกี๊ยกก็ค่อนข้างจริงจังและคิดว่าความสัมพันธ์เราน่ะ ถ้าจะไปต่อมันต้องมีคนเสียสละ เราเลยตัดสินใจว่าถ้าเรามาอยู่ด้วยและเราสานต่อความฝันของเขาดีกว่า” 

“ตอนนั้นตกใจนะคะ เพราะว่าถ้าเขาย้ายมาที่เชียงใหม่เงินเดือนมันจะไม่ใช่หมื่นแล้ว” คุณหมูแนมช่วยเสริม

“ตอนนั้นโกหกป๊าม้าว่าเงินเดือนหมื่นหนึ่งแต่จริงห้าพันละค่าหอก็สี่พันแล้วครับ แต่คือเวลาเราจะทำอะไร เราไม่ได้อยากนับ 6 นับ 7 ใหม่ เราต้องมานับ 1 ทั้งขั้นตอนในการจะทำร้านกาแฟและขนมมันไม่ใช่ว่าเรามีเงินมาแล้วจะทำได้ แต่คนมีทุนมีความรู้มาก็อาจจะอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรามาแบบจำกัด ทุนก็ไม่ได้เยอะ ความรู้เราก็ยังไม่มี เราเลยต้องมานับ 1 — หรืออาจจะ 0 ก็ได้นะครับ เพราะเรามาทำงานก็ไม่มีเพื่อน ไม่รู้จักใคร” น้องเกี๊ยกเล่า

“ตอนนั้นแนมมาอยู่พักหนึ่งก็จะมีเพื่อน มีคอนเนคชั่นบ้างแล้ว”

“ตอนนั้นเกี๊ยกก็มาทำพาร์ทไทม์กับแนมแล้วก็สนใจด้านกาแฟ อยากเป็นบาริสต้าเรียนรู้เรื่องกาแฟ”

แล้วอยู่ๆมาขายโดนัทได้ยังไง

โดนัทมาหลังๆเลยค่ะ หลังจากลาออกจากงาน ตอนนั้นแนมทำมาเกือบสองปี เกี๊ยกทำเกือบครึ่งปี เราก็เริ่มรู้สึกว่าต้องออกมาทำอะไรสักอย่างเป็นของเราได้แล้ว ไม่งั้นก็จะเป็นต่อไป ไปเรื่อยๆ

“ตอนนั้นเรามองไปตามสัญชาตญาณความรู้สึกแล้ว และอีกอย่างเราก็เริ่มรู้ละว่าระบบร้าน การทำร้านต้องทำยังไง ส่วนแนมเองก็รู้จักคนเยอะขึ้นแล้ว แพลนแรกเราตั้งใจจะไปเปิดร้านที่เชียงราย ไม่ได้กะจะเปิดที่เชียงใหม่ เพราะตอนนั้นบ้านแนมก็ลงทุนไว้ให้แล้ว รีโนเวท ลงทุนสร้างเป็นร้านสวยๆร้านหนึ่งไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้ก็ยังร้างอยู่นะครับ ยังไม่มีคนไปทำอะไร”

“ที่ไม่ไปที่เชียงรายตอนนั้นเพราะเราแอบทำร้านไปแล้ว เดือนสองเดือนแต่เป็นความลับ เรายังไม่ได้บอกแม่เลย จนโทรไปบอกแม่ว่า หนูจะเปิดร้านที่นี่แล้วนะ แม่ก็พูดประมาณว่า อืม เหมือนจะรู้อยู่แล้ว ว่าต้องมีคนช่วยอยู่แล้ว เหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเกี๊ยกแต่แม่รอให้เราบอกเฉยๆ”

“จริงๆเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนะครับ แต่เราตัดสินใจกันได้แบบนั้นจริงๆ”

“กว่าจะหาทุกอย่างเราใช้เวลาประมาณครึ่งปี ตอนนั้นเราก็มีขายเสื้อผ้ามือสอง”

“ขนมนี่มาตอนท้ายเลย เพราะว่าตอนเราทำงานเราก็อยู่หน้าร้านกันตลอด แนมก็รับลูกค้า เกี๊ยกก็ชงกาแฟ ตอนแรกแนมลองทำหลายอย่างมากทั้งเค้ก ทั้งขนมปัง”

“เป้าหมายเกี๊ยก อยากเปิดร้านขนมเพราะช่วงนั้นเกี๊ยกบ้าความญี่ปุ่นมาก เวลาที่ไปดูเกี๊ยกก็จะไปดูร้านญี่ปุ่น ขนมญี่ปุ่น เราเลยอยากให้มันเป็นฟีลญี่ปุ่นและมีขนมน่ารักๆเยอะๆ มันอาจจะไม่ตอบโจทย์ที่เชียงใหม่นัก เราเลยคิดว่าจะทำยังไงให้มันไม่เยอะจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไป ให้คนเขาถึงง่ายๆด้วย”

“ตอนนั้นเรามองว่ามันไม่มีโอกาสให้มันล้มเหลวนะครับ คือเราคิดแค่ว่าต้องทำยังไงถึงจะขายให้ได้ ต่างคนต่างมีเงินก้อนสุดท้าย”

“ตอนนั้นผมว่ามันสนุกมากกว่า แค่รู้ว่าเราต้องทำอะไรและสนุกไปกับมันจนเราไม่ได้คิดว่าต้องได้เงิน”

“เรายอมรับว่าเวลาทำธุรกิจต้องอยากได้เงิน แต่เราไม่ได้เอาเงินเป็นที่ตั้งเราแค่ขอให้ได้ทำ”

“ตอนแรกเราไม่เคยทำ แต่พอเรามาลองทำเราก็รู้สึกว่าเราชอบมันและน่าจะชอบมันแบบมาก จนถึงตอนนี้”

ตอนทำครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง?

“ทุกคนน่าจะรู้ว่าตอนทำตอนแรกมันยากมาก บางทีตอกไข่ไปสามฟองแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าตอกไปกี่ฟองแล้ว มันเบลอ มันทดลองเยอะมากๆ ยิ่งเป็นขนมปังยิ่งยากเลยครับ”

“เราเอาสูตรมาจากยูทูป แต่เราก็เอามาปรับเยอะมาก มันเหมือนคณิตศาสตร์เนยไม่หอมเปลี่ยนเนย หวานไปก็ลดน้ำตาล เปลี่ยนแป้งและปรับไปเรื่อยๆจนเรารู้สึกว่าโอเคกับเขา”

“ก้อนแรกที่ออกมา คือแบนและกลายเป็นซาลาเปาทอด ตอนนั้นทำเยอะมากครับ ตื่นมาก็ทำ ทำไปและก่อนนอนก็ทำ ทำไปดูทีวีไป”

“บางทีไม่รู้จะกินอะไรเราก็กินมันแทนข้าวเลย ย้อนกลับไปผมว่าผมมีความมสุขที่สุดแล้วนะครับ มันอิ่มเอม มันสนุกมาก ไม่รู้จะพูดยังไง มันมีความสุขมาก พอมองกลับไปแล้วแบบว่ามึงทำได้ไงวะ ละตอนนั้นเรานวดมือด้วย จนวันที่เราเปิดร้านเราก็ยังนวดมืออยู่เพราะเราไม่มีตังไปซื้อเครื่อง”

หกเดือนเราพึ่งได้สูตรเองครับ และระหว่างนั้นเราก็หาที่แล้วก็ได้ที่นี่

“ความรู้สึกตอนนั้นมันตื่นเต้น เราแชร์ว่าจะเปิดร้านแล้วก็มีคนช่วยแชร์แล้วก็วันแรกเราได้นอนชั่วโมงสองชั่วโมงเองเพราะว่าเรานวดมือ เราแมนนวลโฮมเมด และเรากะเวลายังไม่ได้ เราเปิดเจ็ดโมงครึ่ง เราทำที่คอนโด ตื่นมาทอดแล้วก็ทำอย่างทุลักทุเล แล้วก็หอบมาที่ร้าน ตอนนั้นทำได้แค่สามสิบชิ้นเอง แล้วก็มีขนมปังแบบเป็นโอเพ่นแซนวิส”

ตอนแรกที่เปิดเป็นยังไงบ้าง เสียงตอบรับดีขนาดนี้

“ตอนนั้นก็ช็อกอยู่นะครับ เพราะว่าเปิดมา 7:30 ตอน 8:00 โมงก็หมดแล้ว เพราะมีแต่คนรู้จัก แนมมีคนรู้จักเยอะมาก”

“ตั้งแต่วันแรกเราก็เห็นแล้วครับว่าที่ไม่ใช่เพื่อนก็มี ลูกค้าคนแรกชื่อพี่เข่ง ที่เขาชอบถ่ายรูปผมยังจำได้อยู่เลยว่าเขาสั่งโทสต์สองอันแล้วก็ขนม โมเม้นวันเปิดร้านแรกๆผมว่าทุกคนต้องจำได้ จำได้ดี”

“วันนั้นเขาก็ถ่ายรูปแล้วก็เอาไปลงเพจเขาอีก ก็เหมือนคนเขาถ่ายรูปแล้วก็ตามกันมา”

ทำไมถึงต้องเป็นโดนัทอิตาลี?

“ผมชอบมันเพราะว่ากินแล้วมันเหมือนทานขนมปังอ่ะครับ อย่างที่ทานไปมันเหมือนเค้กเห็นได้ตามทั่วไป แต่โดนัทเรามันเหมือนกินขนมปังที่มีครีมมีอะไร จริงๆแล้วเรามีไส้คาวด้วย ซึ่งเกี๊ยกมองว่ามันมีความแตกต่างอะไรบางอย่างและลูกค้าทานรู้สึกว่ามันมีความแตกต่างมากกว่ามันเลยทำให้ มันเข้าถึงลูกค้าได้”

“ตอนนั้นที่เชียงใหม่ก็มีแบบนี้บ้างครับ มีน้อยแต่เราก็ไม่ใช่ร้านแรก เราแค่เป็นร้านที่มองว่าสินค้าตัวนี้น่าจะขายได้เลยเปิดเป็นโดนัทช็อปไปเลย”

“ตอนแรกๆเราขายแมคดาลีนด้วย จริงๆเราชอบญี่ปุ่นและอยากเปิดเป็นร้านเบเกอรี่ ซึ่งตอนนี้ก็ยังเป็น”

ความฝันที่อยากจะมีร้านเบเกอรี่เป็นของตัวเองในอนาคตให้มันมีหลากหลาย มีครัวซองต์ มีโทสต์ เหมือนที่ญี่ปุ่นที่คนแก่เปิดร้านมาสามสิบสี่สิบปีก็ยังขายกันอยู่ นั้นคือความฝันซึ่งตอนนี้ก็ยังเป็นระหว่างทางอยู่

ช่วงที่เหนื่อยมาก มีเบิร์นเอาท์ไหม ช่วงนั้นทำยังไงถึงผ่านมาได้?

“เกี๊ยกมองว่าแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน อย่างเกี๊ยกแค่เปิดร้านวันแรกก็รู้สึกประสบความสำเร็จแล้ว เราแค่อยู่กับมันซึ่งมันจะพิสูจน์ได้ก็ต่อเมื่อว่าเราอยู่กับมันมาได้นานแค่ไหน ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีความรู้สึกอยากจะเลื่อนนาฬิกาปลุกเหมือนตอนที่อยู่กรุงเทพ ตื่นมาตีสองก็ลุกขึ้นมาได้เลยทั้งๆที่เราอยากจะนอนต่อ”

“มันจะมีช่วงที่เราไม่บาลานซ์ ช่วงหน้าไฮท์ที่เราทำไปร้องไห้ไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำแต่มันเหนื่อย มันเป็นช่วงที่สามเดือนได้นอนสามชั่วโมง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไม่มีความสุขที่สุดแล้วครับ ทั้งๆที่มันเป็นช่วงที่เราขายดีมากๆ ข้อเสียคือเราไม่ได้คุยกับลูกค้าเลย เขามาถึงปุ๊บก็ต่อคิวซื้อแล้วก็ออก ไม่ได้มีการคุย ไม่ได้เหมือนช่วงแรกที่เราสนุกมากเลย”

“มันฉาบฉวย มันดูธุรกิจไปหน่อยครับตอนนั้น”

ได้รับความนิยมเร็วมาก คิดไหมว่าจะทำอะไรต่อ?

“ตอนช่วงแรกว่าขายดีแล้ว ปลายปีที่ผ่านมามันหนัก ขายดีหนักกว่าเดิม จนแว๊บเข้ามาว่าเราจะขยายดีไหม หรือขายเฟรนชายด์เพราะมีคนแนะนำมา”

“ตอนนั้นเราต้องกลับมาถามตัวเองว่าเปิดร้านทำไม เราต้องการเป็นตัวแทนของคนไม่มีความทะเยอทะยาน เป้าหมายเราก็คือกลับบ้านไปทำโอสเทลหรือร้านเบเกอรี่เล็กๆอยู่ด้วยกัน”

เราอาจจะโตมาแบบวิธีคิดที่ผิดๆว่าเราอาจจะเป็นเป็ดก็ได้ โซเชียลมีเดียมันกระตุ้นให้คนคิดอย่างนี้แต่เราคิดไม่เหมือนเขา เราอยากเป็นตัวแทนของคนไม่ทะเยอทะยานมาก

“จุดประสงค์เราอยากเป็นคนทำเอง รับลูกค้าเอง มันได้ฟีลคนละแบบเหมือนเราได้รับฟีดแบคลูกค้ามา เหมือนได้รับแบบตรงๆและเขารู้สึกยังไงแล้วเราส่งความรู้สึกให้เขาเต็มๆ มันไม่เหมือนเราจ้างคนอื่น น้องเขาก็อาจจะเป็นอีกฟีล จะแถมลูกค้าเขาก็ไม่กล้าแถม จะถามสารทุกข์สุกดิบก็ไม่รู้ชื่อลูกค้า”

“ช่วงโควิดเรายิ่งรู้เลยว่าเรามาถูกทางแล้ว มีลูกค้าที่มาเป็นประจำเขาก็มาช่วยเยอะแยะไปหมด เราได้เพื่อนเพิ่ม ได้น้า ป้า พี่เพิ่ม”

“เราคงจะหาเรื่องพวกนี้ไม่ได้ถ้าเราทำเป็นธุรกิจ มันเป็นเรื่องของภายในที่ตอบยาก”

โควิดระลอกแรกกระทบหนักแค่ไหน

“หนักเลยครับ ถ้าพูดกันตามความเป็นจริง 60% ของลูกค้าหายไปเพราะเป็นนักท่องเที่ยว กลุ่มเป้าหมายเราตอนแรกก็เป็นนักท่องเที่ยวเพราะร้านเราอยู่ที่นิมมาน เพราะมันเป็นใจกลางเลยคนไปทำงานก็แวะมาได้ โรงแรม มีคนเดิน ตอนนั้นคนจีนเยอะมาก พอคนจีนเห็นคนต่อแถวเขาก็จะเข้ามา”

“จริงๆเราอยากได้นักท่องเที่ยวคนไทย และต่างชาติน่าจะเกิดจากการบอกต่อ 40% ก็เป็นคนท้องถิ่น คนที่เรารู้จักที่คิดไว้ตอนแรก”

“ลูกค้าหายก็มาขยายในพื้นที่เปิดเดลิเวอร์รี่ เกี๊ยกขับรถตระเวนส่งและกลับไปทำขนมต่อ”

ระลอกแรกมาแล้วเหมือนจะดีขึ้น

“มันดีขึ้นเลยแหละ ก่อนจะรีโนเวทร้าน”

ทำไมถึงรีโนเวทร้าน กับ โควิดระลอกเมษา 64

“เราได้เช่าทั้งตึกเพราะโฮลเทลย้ายออก เจ้าของเขาก็มาถามเราว่าอยากเช่าทั้งตึกไหมเพราะว่าช่วงโควิด – 19 มีการเปลี่ยนแปลงสัญญา ทำให้เราได้เช่าทั้งตึก เราก็เลยได้โอกาสรีโนเวทร้าน”

“ตอนนั้นเปิดร้านใหม่ใหม่ได้ 1 วัน ละตอนเย็นก็มีคนเริ่มติดแล้ว ตอนแรกเราก็คิดว่าปิดรีโนเวทช่วงมีนาคมและเมษายนก็จะเปิดยาว เราจะได้ขายของเจอลูกค้า แต่กลายเป็นว่าโควิดก็ระบาด ตอนนั้นเราไม่มีแผนสำรองเลยเพราะคิดว่ามันจะจบตั้งแต่รอบสองแล้ว”

“ตอนนั้นรู้สึกน้อยใจมาก รู้สึกว่าเจอเรื่องอะไรเยอะแยะจัง”

“เกี๊ยกกับแนมจะคุยกันสองคนตลอด แล้วเกี๊ยกก็จะพูดถึงเคสที่แย่ที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีคนมาซื้อเลยหรือไม่มีคนเลย เราจะไหวไหม ถ้าไหวเราก็จะไปต่อ แต่เราต้องปรับตัวเป็นเดลิเวอร์รี่ก่อนเช่นเคย”

“ตอนนั้นเกี๊ยกก็เป็นคนวางแผนที่จะทำโปรดักส์นั้นโปรดักส์นี้ขึ้นมาดีไหม ส่งต่างจังหวัดไหม เราก็เลยลองหาวิธีว่าเราจะทำยังไงให้เราอยู่ได้เพราะเราจ้างน้องคนหนึ่งเป็นประจำแล้วด้วย เพราะเรามีค่าพนักงาน ค่าที่ มันเป็นธุรกิจแล้ว เพียงแค่ว่าเราไม่ได้เน้นที่ตัวเงินแค่ทำให้มันโคฟเวอร์กัน”

“โปรดักส์ส่งต่างจังหวัดนี่จะเป็นแผนสำหรับในกรณีที่แย่ที่สุด ถ้าเราต้องปรับตัว”

การส่งต่างจังหวัดครั้งแรกมีปัญหา

“ด้วยความที่มันเป็นครีมและแป้ง มันไม่ควรใช้เวลาเกินสองวันในการเดินทาง ตอนนั้นมันเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เราลองส่งให้เพื่อนดูเขาก็พูดกับเรามากไม่ได้ เราก็กลัวว่าลูกค้าอาจจะคาดหวังมากและตัวสินค้าเราที่ส่งไปก็อาจจะแค่กินได้”

“อีกอย่างขนมเรามันมีจะผลไม้ และมันก็จะมีน้ำ มีครีม มันก็จะทำให้ครีมเสียงานเราเลยปรับเป็นทำวาฟเฟิลให้มันกรอบ ลูกค้าได้รับไปก็จะเอาไปอุ่นทานคู่กับกาแฟให้มันร้อน”

“แต่ลึกๆในใจเราก็ไม่ได้อยากส่ง เราอยากให้คนมาทานที่ร้านมากกว่า”

“มีคนทักมาเยอะนะครับ ตัววาฟเฟิล ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่”

“แต่เกี๊ยกบอกว่าตอนนี้ที่สถานการณ์เปลี่ยนเป็นทุกอย่างเดลิเวอร์รี่คนที่เสียประโยชน์ก็คือลูกค้า คนที่ได้ประโยชน์ก็จะมีแค่แอปพลิเคชันกับพ่อค้าคนกลาง”

“เกี๊ยกมองว่าแอปพลิเคชันถ้าเราขึ้นราคาเราก็เสมอตัวเพื่อหักส่วนต่างตรงนั้น คนที่เสียประโยชน์ก็คือลูกค้า หรือถ้าเกี๊ยกไม่ขึ้นเราก็เสียประโยชน์ต่อให้ลดแค่ไหน เราก็ไม่อยากลดคุณภาพของสินค้า”

ลูกค้าที่มาในทุกวันนี้ยังเป็นลูกค้าประจำ และเคยมีดารามาถ่ายรูปและเช็คอินที่ร้าน

“ใช่ค่ะ คุณอิ้งค์ ช่วงนั้นทุกคนที่มาก็จะอยากมานั่งเก้าอี้ตัวที่คุณอิ้งค์นั่ง ไม่ก็จะเปิดรูปคุณอิ้งค์แล้วก็ถ่ายรูปเอามุมคุณอิ้งค์”

“เป็นจังหวะก่อนจะเข้าหน้าไฮต์พอมีคนมีชื่อเสียงมาก็เลยทำให้ร้านเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น”

“เกี๊ยกเขินมากเพราะติดตามผลงานเขาอยู่แล้ว มือสั่นไม่กล้าอยู่ใกล้เลย”

“โควิดระลอกแรกเรามีลูกค้าประจำคนหนึ่งเขาเดินมาหาเราแล้วก็เอาเงินให้เราเลยพันหนึ่ง เขาบอกว่าเขารู้ว่าเรากำลังลำบาก เขาอยากช่วย อยากให้กำลังใจ ตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่แบบว่าคนที่ทำธุรกิจแบบธุรกิจคงไม่ได้อะไรแบบนี้ วันนั้นเราเลยทำขนมไปแจกเลย เรารับรู้ถึงพลังบวกของเขาที่เขาส่งมาให้เรา”

“แม้กระทั่งโควิดระลอกที่ผ่านมาก็ตาม เขาก็โอนมาให้เราบอกว่าเป็นกำลังใจแล้วก็ช่วยไปรับออเดอร์จากคนรู้จักของเขามาอีก 80 ลูก เขาจะมาซื้อร้านเราทุกวันเสาร์ อยู่กับเราทุกช่วงเวลา เราขายดีเขาก็มาต่อคิว เขาก็ดีใจด้วยนะคะที่เขาเห็นคนมาต่อคิวร้านเรา”

“เขาทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันถูกต้องแล้ว ผมก็เลยคิดว่านี่คือความต่างของร้านเรากับร้านอื่น ซึ่งเกี๊ยกก็คิดมาตลอดว่าอะไรที่เราต่างจากร้านอื่นและอะไรที่ร้านอื่นจะทำแบบเราไม่ได้ ก็รอยยิ้มของเรานี่เอง”

“มันเป็นสิ่งที่คนอื่นเลียนแบบไม่ได้ อย่างการที่เราต้อนรับลูกค้ากันเอง ช่วยกันเอง มันน่าจะเป็นเสน่ห์บางอย่างที่กลุ่มลูกค้า Local ของเรากลับมา”

ขอให้เล่าเรื่องสองปีที่ผ่านมาอะไรสำคัญที่สุด

“เกี๊ยกมองว่าสติสำคัญมากๆ เพราะเราต้องรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มันจะมีช่วงหนึ่งที่เกี๊ยกก็จะมีหัวการค้าและมองเรื่องของตัวเงินมากเกินไป ซึ่งสติมันจะดึงเรากลับมา”

“เกี๊ยกจะชอบกลับไปดูในอินสตราแกรมของร้านตัวเอง เวลาที่เราพิมพ์แคปชั่นหรือที่ลูกค้ามาคอมเม้นต์รูปภาพเก่าๆ มันทำให้เกี๊ยกรู้สึกกลับไปจุดแรกๆอีกครั้งหนึ่ง”

“พอนั่งเลื่อนดูตอนนั้นก็จะกลับมารู้สึกว่าอยากได้ฟีลแบบนี้”

“อีโก้นี่ทุกคนต้องมีอยู่แล้ว ใครที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีก็น่าจะกำลังเป็นคนที่ซวยมากๆ แต่เราเองเราก็ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า เพราะต้องให้คนอื่นมองมา แต่ตัวเราเองเรามองว่ามันไม่ควรมี”

มันเป็นความรู้สึกภูมิใจมากกว่า ไม่ได้ฟีลแบบว่าทุกคนกินขนมฉันแล้วอร่อยหรือต้องชอบ

“เราเป็นคนน่าจะถ่อมตัวด้วยซ้ำไป ท้ายที่สุดแล้วลูกค้าเป็นคนเลือกอยู่แล้วว่าจะชอบกินร้านไหน ยังไงเราก็ฝืนความรู้สึกเขาไม่ได้อยู่แล้ว”

สำหรับหมูแนม สองปีที่ผ่านมาแนมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องไปเครียดมากเราแค่ทำของเราให้ดีที่สุด ตั้งใจทำให้ออกมาดีทำให้เต็มที่ในส่วนของเรา ส่วนต่อไปที่ลูกค้าได้รับเขาจะสัมผัสได้เองว่าเราตั้งใจทำให้เขาจริงๆนะ เหมือนส่งต่อความสุขของเราให้ลูกค้า เหมือนมุมมองเราก็โตขึ้น เราไม่ได้เครียดว่าคนอื่นจะทำเหมือนเราอีกกี่ร้าน

“ช่วงแรกแนมจะเครียดมากว่าทำไมเขาทำเหมือน เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องอีโก้”

“เกี๊ยกก็จะเตือนสติแนมว่าเราอยู่ตรงจุดไหนและมีหน้าที่ทำให้ดีที่สุดคนที่ตัดสินคือลูกค้าอยู่ดี”

“เราก็ไม่รู้จะไปเครียดทำไม เครียดไปเขาก็ไม่ได้จะปิดร้านหรือลูกค้าจะไม่ซื้อเรา”

“เกี๊ยกไม่ได้มองใครเป็นคู่แข่งเลย ในสงคราม ไม่มีใครไม่เจ็บปวด”

ตอนนี้มีเป้าหมายมีไว้ของตัวเอง ต่อไปจะทำให้เป็นยังไงในอีก 5 ปี

“อยากมีร้านอีกสักร้านหนึ่งเป็นของตัวเอง แต่อยากให้เป็นฟีลบ้านแบบญี่ปุ่นเลย”

“ตอนแรกเราอยากกลับไปอยู่เชียงรายเพราะบ้านแนมทำไว้แล้ว และไม่ได้เสียค่าที่หรืออะไร แต่ช่วงอายุเรา เรายังอยากเจอความท้าทายบางอย่างที่นี่อยู่”

“ถ้าพูดถึงขยายสาขาเราไม่มีแพชชั่นอะไรตรงนั้นเลย เราก็ไม่สามารถการันตีได้เพราะก่อนหน้านี้ความคิดเราก็เปลี่ยนเรื่อยๆ เพราะช่วงอายุ มันเหมือนในหนังเรื่อง DARK ที่คนเจอเราในช่วงอายุหนึ่งแล้วไปเจออีกช่วงอายุหนึ่ง ความคิดจะเป็นคนละเลย ความคิดเราในตอนนี้กับในอีกหลายปีข้างหน้าอาจจะไม่ตรงกัน ซึ่งตอนนี้เรายังเชื่ออย่างนี้อยู่แต่ก็ไม่กล้าการันตีอนาคตเรา”

“แต่ 5 ปีเราคงอยู่จุดนี้อยู่แล้วก็สร้างมาตรฐานของตัวเองและลูกค้า สร้างความสัมพันธ์บางอย่างกับลูกค้าและน้องที่มาช่วยทำงาน”

ถ้าสมมติว่ามีรุ่นน้องมาถามว่าอยากจะเปิดธุรกิจสักอันหนึ่งจะแนะนำยังไง

  • แนม

“จริงๆก็มีคนมาถามบ้างแล้วนะคะ ว่าต้องใช้งบเท่าไหร่ แผนการตลาดเป็นยังไง แนมก็แนะนำเท่าที่แนะนำได้เพราะปกติการตลาดจะเป็นเกี๊ยกอยู่แล้ว แนมก็เลยจะแค่แนะนำที่ซื้อของอะไรกันไป”

  • เกี๊ยก

“คนที่กำลังสนใจเปิดกาแฟหรือคาเฟ่ คงตอบยากนะ คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าเอาจริงไหมต่อให้ไม่เดินทางนี้ทางอื่นก็ยากหมด แต่เกี๊ยกยังเชื่อนะว่าถ้าชอบก็ต้องทำไม่อย่างนั้นก็จะเสียดาย ก็อย่างที่บอกว่าใครก็เปิด เราก็อยากเปิดถ้าเป็นอย่างนั้นอย่าทำดีกว่า เราควรต้องถามตัวเองย้ำๆก่อนจะตัดสิน เราต้องถามตัวเองและเรียนรู้ตลอดเวลาว่าต้องการจริงๆไหม”

“ปกติเขาจะเห็นเราแค่ตอนที่ประสบความสำเร็จ แต่จริงๆแล้วเบื้องหลังมันมีอีกเยอะมากวันที่ไม่มีลูกค้า วันที่ลูกค้าด่าเราจะรับมือหรือจัดการได้ไหม ร้านเราเปิดมาเพราะจังหวะมันดีไม่ใชว่าปรึกษาพี่แล้วจะสำเร็จนะ เราไม่ได้บอกว่าเราสำเร็จหรือเก่ง เราแค่แนะนำได้ ตอนนั้นเราโชคดีที่มีคนเอ็นดูเรา มีคนรู้จัก”

“อีกเรื่องคือสังคมกาแฟเชียงใหม่ที่เราซึมซับมา เขาอุดหนุนเรา เราก็ไปอุดหนุนเขาให้เงินมันหมุน มันน่ารักมาก เราช่วยกันขาย ช่วยกันแชร์ บอกต่อร้านกันไป เป็นสังคมเชียงใหม่ที่น่ารักมากเลย”

ความสำเร็จที่ผ่านมาคิดว่าเกิดจากความโชคดีหรือความสามารถของเรา?

“เกี๊ยกมองว่ามันคือโชคส่วนหนึ่งและเพราะเราด้วย เพราะเราไม่เคยยอมแพ้ เรามองโลกในแง่ดี ถ้าเราไม่ยืนหยัดด้วยกันเจออะไรนิดๆหน่อยๆก็ไปแล้ว ถ้าเกี๊ยกไม่มีแนมก็เปิดร้านไม่ได้”

“ถ้าความเห็นไม่ตรงกันก็จะค่อยๆคุยกันด้วยเหตุและผล เรามาด้วยความพยายามและใจเราสู้จริงๆ ตั้งแต่เรื่องการทำขนมที่เราทำจนมารู้ว่าอุณหภูมิประมาณนี้ เรารู้แค่ว่าเราต้องทำอย่างนี้มันเกิดจากที่เราทำอะไรย้ำๆ”

“ส่วนของแนม แนมว่าน่าจะเป็นทั้งสองอย่างถ้าแนมไม่มีเกี๊ยกช่วยคิดการตลาด แนมก็คงจับต้นชนปลายไม่ถูก เกี๊ยกน่าจะเป็นคนที่ทำให้มันเกิดทั้งความโชคดี ทั้งโอกาส”

“ถ้าโชคคือการที่เราได้เจอลูกค้าที่คอยซัพพอร์ต ถ้าไม่มีเขาเราก็คงเฟลตั้งแต่เปิดร้านแรกๆ”

ช่องทางติดต่อ :

Facebook: moohomemade
เบอร์โทรศัพท์ : 085-339-2423
ที่อยู่ : https://goo.gl/maps/tYvc6siVmYdzA8iz8


Tags:

BussinessinspirationmoohMOOH DONUTSอิตาลีเชียงใหม่แรงบันดาลใจโดนัท

Share Article

Follow Me Written By

sopons

Writer / Columnist (Salmon Books, 101.world, The Matter, Beartai, The People, a day Bulletin, CapitalRead, GQ, Billion Brands)

Other Articles

Previous

สร้างตัวเองให้ Active ทั้งกายและใจ

Next

เมื่อโลกซึมเศร้า : หนังสือที่ว่าด้วยสัมพันธ์ระหว่างทุนนิยมและสุขภาพจิต

Next
August 20, 2021

เมื่อโลกซึมเศร้า : หนังสือที่ว่าด้วยสัมพันธ์ระหว่างทุนนิยมและสุขภาพจิต

Previews
August 18, 2021

สร้างตัวเองให้ Active ทั้งกายและใจ

Related Posts

“โลกต้องรู้จักข้าวซอย เหมือนโลกรู้จักราเมน” – Khao-Sō-i : วิน ศรีนวกุล

by sopons
July 6, 2021

Glory Collagen : การสร้าง Health/Beauty Startup ให้เติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันอันดุเดือด

by sopons
August 13, 2021

Barefoot : ร้านพาสต้าเส้นสดที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านอาหารและวัตถุดิบในท้องถิ่น

by sopons
November 15, 2021

10 กฏเหล็ก ในการทำ Startup ให้ประสบความสำเร็จ โดยผู้ก่อต่อ LikedIn

by sopons
October 15, 2021
SOPON’S BLOG

STUFF WORTH READING

© 2022, All Rights Reserved.

Quick Links

  • Contact
  • About

Category

  • Self-Improvement
  • Technology
  • Business
  • Thoughts
  • Psychology

Follow

Facebook Twitter Youtube Instagram
  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Business
    • Technology
    • Inspiration
    • Books
    • Life Style
    • Startups
    • Thoughts
    • Travel
  • About
  • Contact