(TED) Sheena Iyengar : ถ้า ‘ดอกกุหลาบ’ ถูกเรียกด้วยชื่ออื่น กลิ่นของมันก็อาจจะต่างออกไป
Sheena Iyengar ศึกษาวิธีที่ตัดสินใจและศึกษาว่าเรารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับตัวเลือกที่เราทำ ที่ TEDGlobal เธอพูดถึงทั้งตัวเลือกเล็กน้อยอย่าง Coke และ Pepsi ไปถึงตัวเลือกที่ลึกซึ้ง และแชร์งานวิจัยของเธอซึ่งได้เปิดเผยทัศนคติที่น่าประหลาดใจบางอย่างเกี่ยวกับการตัดสินใจของเรา

"เขาไม่ใส่น้ำตาล ในชาเขียวกันหรอกครับ"
"ฉันรู้ค่ะ ว่าคนญี่ปุ่นไม่ใส่น้ำตาลในชาเขียว แต่ฉันต้องการใส่น้ำตาล ในแก้วชาเขียวของฉัน"
หลังจากถกเถียงกันอย่างยืดยาว สุดท้าย...ผู้จัดการก็เดินมาบอกฉันเลยว่า
“ขอโทษจริงๆ ในร้านเราไม่มีน้ำตาลครับ“
และในเมื่อสั่งชาอย่างที่ต้องการไม่ได้ เธอเลยเลือกที่จะสั่งกาแฟ ซึ่งสักพักพนักงานก็เอามาเสิร์ฟให้ โดยบนจานรองแก้วนั้น มีน้ำตาลวางอยู่ 2 ซอง
ชีน่าเล่าถึงที่มาที่ไปของการพบ ปัญหาจากรากฐานความคิดที่แตกต่างในเรื่อง “ทางเลือก” เธอเล่าว่าจากมุมมองของคนอเมริกัน ถ้าลูกค้าเอ่ยขออะไร ที่ไม่ได้หนักหนาจนเกินไป ลูกค้าก็ควรได้รับสิ่งนั้น นั่นคือวิถีอเมริกัน อย่างสโลแกนของ เบอร์เกอร์คิงที่ว่า “ตามแต่ใจคุณต้องการ” หรืออย่างสตาร์บัคส์ก็บอกว่า “ความสุขอยู่ในสิ่งที่คุณเลือก” แต่จากมุมมองของคนญี่ปุ่นแล้ว พวกเขาต้องพยายามปกป้อง”ไกจิน” หรือ “คนนอก” จากการเลือกในสิ่งที่ผิด
ชาวอเมริกันเชื่อว่า “พวกเขาจะได้สิ่งที่ดีที่สุด ต่อเมื่อพวกเขาได้เลือกเอง” พวกเขาคิดว่า ตัวเลือกเป็นสิ่งที่เติมเต็ม ความต้องการของมนุษย์ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ความเชื่อเหล่านี้มาจากข้อสันนิษฐานที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเอง โดยที่ไม่มีมูลความจริง ในหลายประเทศและหลายวัฒนธรรม และหลายกรณีข้อสันนิษฐานต่างๆของเรา
ชีน่าได้ตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมาว่าเราได้รับการหล่อหลอมจากพื้นเพของเราอย่างไรบ้าง
ข้อสันนิษฐานแรก ถ้าการตัดสินใจมีผลกับคุณ คุณควรได้เป็นคนเลือกเอง เพราะนี่เป็นทางเดียวที่คุณจะได้ในสิ่งที่ตรงกับความต้องการคุณมากที่สุด นี่เป็นปัจจัยสำคัญคนเราต้องเลือกเพื่อตัวเอง และบางครั้งก็ต้องยืนหยัดเพื่อสิ่งนั้น ไม่ว่าคนอื่นจะว่าอย่างไรก็ตาม เธอเรียกมันว่า “ตามเสียงหัวใจตัวเอง” แต่ใช่ว่าทุกคนที่ได้ประโยชน์จากการเลือกให้ตัวเองซะเมื่อไหร่
เธอได้เล่าเรื่องการทำวิจัย เพื่อตอบข้อสงสัยนี้โดยเฉพาะ และหนึ่งในงานวิจัยที่เธอศึกษาในย่านชุมชนชาวญี่ปุ่น ที่ซานฟรานซิสโก เธอได้นำเด็กอังกฤษและเด็กเอเชียอายุระหว่าง 7 ถึง 9 ปี เข้าไปในห้องทดลอง แล้วแบ่งพวกเขาออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก ได้เกมสร้างคำ 6 กองใหญ่ ๆ กลุ่มแรกมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะทำกองไหน และมีสิทธิ์เลือกปากกาที่จะใช้เขียนคำตอบ
กลุ่มที่สองเข้ามา พวกเขาก็ถูกนำเข้ามาในห้องเดียวกัน โชว์ในสิ่งเดียวกัน แต่ครั้งนี้ นักทดลองเป็นคนเลือก ว่าให้ทำอันไหน และใช้ปากกาอะไร
จากนั้นเด็ก ๆ กลุ่มที่สามก็เข้ามา นักทดลองมอบปากกาที่ใช้เขียนคำตอบที่แม่ของเด็กแต่ละคนเลือกให้ และบอกวิธีเล่นทุกอย่าง
และไม่ว่าจะเป็นเพราะคำสั่งคุณแม่ นักทดลอง หรือเด็กเลือกทุกอย่างเอง ทั้งสามกลุ่มล้วนเล่นเกมเดียวกันทั้งนั้น
แต่เกมนี้มีความต่าง ต่างกันที่กลุ่มแรกมีสิทธิ์เลือกกองอย่างอิสระ
เธอเล่าว่าการทดลองนั้นพบว่า ความต่างเล็ก ๆ ที่เรากำหนดได้สร้างผลต่างในด้านสมรรถภาพของเด็กได้อย่างชัดเจน สำหรับเด็กอเมริกัน พวกเขาทำได้เยอะว่าสองเท่าครึ่ง เมื่อเขาเป็นผู้เลือกกองเอง เทียบกับที่คุณแม่หรือนักทดลองเลือกให้เขา โดยไม่เกี่ยงว่าใครเป็นคนเลือก เพียงแค่ไม่ใช่พวกเขาเลือกด้วยตัวเอง สมรรถภาพก็จะหย่อนลง ในความเป็นจริง เด็กบางคนรู้สึกเขินอายอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรู้ว่าได้ปรึกษากับแม่ในเรื่องนั้นมาแล้ว
แต่ในทางตรงกันข้าม เด็กลูกครึ่งเอเชีย กลับทำได้ดีที่สุด เมื่อทราบว่า แม่ของพวกเขาเป็นคนเลือกให้ และดีเป็นอันดับรองลงมา เมื่อพวกเขาได้เลือกเอง และอันดับท้ายสุด เมื่อรู้ว่านักทดลองเป็นคนเลือกให้
ในเรื่องการตัดสินใจแล้ว ตัวเลือกไม่เพียงแต่บ่งบอกและยืนยันความเป็นตัวตน แต่ยังเป็นการสร้างการยอมรับและความสมานฉันท์ โดยปรับเปลี่ยนตัวเลือก ไปตามคนที่นับถือ ถ้าพวกเขามีความเป็นตัวของตนเอง ความเป็นตัวของตัวเองนั้น จะไม่ใช่เป็นแต่ของเฉพาะบุคคล แต่จะเป็นของคนทั้งกลุ่ม ความสำเร็จเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจพอๆกับ การตอบสนองความต้องการ ของตนเอง หรือ สามารถพูดได้ว่า
ความต้องการของบุคคล ถูกหล่อหลอมมาจากความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งๆ
ฉะนั้นข้อสันนิษฐานที่ว่า คนเราทำได้ดีที่สุด คือตอนที่เราได้เลือกเองนั้น จะถูกก็ต่อเมื่อ คนๆนั้น ไม่ได้รับอิทธิพลในการตัดสินใจจากคนอื่น และในทางกลับกัน ถ้าคนๆนั้นเห็นว่า การตัดสินใจ และผลลัพธ์ เป็นการเรื่องละเอียดละออที่เชื่อมกลุ่มเข้าด้วยกัน พวกเขาก็จะทำให้เรื่องการตัดสินใจเป็นเรื่องของส่วนรวมเป็นใหญ่ เพื่อเป็นการยืนยันว่าพวกเขาได้เลือกด้วยตัวเอง พวกเขามักจะประนีประนอม ระหว่างสมรรถภาพ กับความสัมพันธ์
ข้อสันนิษฐานที่สองก็คือ มุมมองของคนอเมริกันเกี่ยวกับตัวเลือก เป็นอะไรประมาณว่ายิ่งตัวเลือกเยอะเท่าไร โอกาสที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุด ก็ยิ่งมีมากเท่านั้น อย่างวอล์มาร์ทมีของมากกว่าหมื่นชิ้น อเมซอน ที่มีหนังสือมากกว่า 27ล้านเล่ม และในเว็บไซต์ match.com ที่มีคู่เดทให้เลือกกว่า 15 ล้านคนได้มั้ง ฉะนั้นคุณได้เจอคู่แท้แน่ จริงไหม?
ชีน่าได้ไปพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้ที่ยุโรปตะวันออก เธอได้สัมภาษณ์คนที่ย้ายมาจากประเทศคอมมิวนิสต์ ฉะนั้นพวกเขาล้วนเคยเจอกับ การเปลี่ยนวัฒนธรรมจาก “ประชาธิปไตย” สู่ “ทุนนิยม” สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจที่สุด ไม่ได้มาจากคำตอบ แต่มาจากสิ่งง่าย ๆ จากวิธีการต้อนรับ เมื่อคนที่มาถึงถูกถามว่าอยากดื่มอะไรโดยมีตัวเลือกทั้งหมดเจ็ดอย่าง
เธอเล่าว่าคนรัสเซีย ผู้เข้าร่วมคนหนึ่งบอกสิ่งหนึ่ง ที่สะกิดใจเธอมาก ๆ
“อะไรก็ได้ค่ะ มันก็น้ำอัดลมเหมือนๆกัน”
เธอเล่าว่าสิ่งที่เขาพูดทำให้เธอคิดอะไรได้เยอะเลย เธอเลยเริ่มถามผู้เข้าร่วมโดยเอ่ยถึงน้ำอัดลมทั้งเจ็ด แล้วถามว่า “ทั้งหมดมีกี่ตัวเลือก” ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขานับน้ำอัดลมทั้งหมดนี้ เป็นเพียง “หนึ่ง” ตัวเลือก ไม่ใช่ “เจ็ด” หรือไม่อัดลม แต่พอเอาน้ำเปล่ากับน้ำผลไม้ มาเป็นตัวเลือกเพิ่มเติม พวกเขาก็ค่อยนับเป็นแค่สามตัวเลือก “น้ำผลไม้” “น้ำเปล่า” หรือ”น้ำอัดลม”
เมื่อเทียบกับคนอเมริกันแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องรสเท่านั้นที่พวกเขารู้ความแตกต่าง แต่รวมไปถึงเรื่องของยี่ห้อด้วย หลายๆงานวิจัย แสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถบอกความแตกต่าง ระหว่างโค้กกับเป๊ปซี่ได้
คนอเมริกันรุ่นใหม่เปิดรับ ตัวเลือกและโฆษณา มากกว่าใครในโลกนี้
ตัวเลือกเหมือนกับการแสดงตัวตนของคนใช้เช่นเดียวกับตัวสินค้า ข้อสันนิษฐานที่ว่าตัวเลือกเยอะกว่าย่อมดีกว่า แล้วก็ยังมีกลุ่มที่เห็นว่าข้อแตกต่างเล็กๆน้อยๆของสิ่งๆหนึ่งล้วนมีความหมาย ดังนั้นทุกตัวเลือกมีความหมาย แต่สำหรับชาวยุโรปตะวันออกแล้ว การที่จู่ๆก็มีตัวเลือกอย่างนี้ เป็นความเกินจำเป็นของตลาด เมื่อสถานการณ์เต็มไปด้วยตัวเลือก ผู้คนก็ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร
“มันเป็นสิ่งที่มากเกินไป เราไม่ต้องการทุกอย่างที่อยู่ในนั้น” นักสังคมวิทยาจาก Warsaw Survey Agency อธิบายเรื่องนี้ว่า
“พวกคนรุ่นเก่ากระโดดมาจาก ‘การไม่มีอะไรเลย’ สู่ “การห้อมล้อมไปด้วยตัวเลือก” พวกเขาไม่เคยถูกปล่อยให้เรียนรู้ ว่าต้องเลือกอย่างไร”

และ คุณโทมาส ชายหนุ่มชาวโปแลนด์ หนึ่งในคนที่ชีน่าไปสัมภาษณษ์ พูดไว้ว่า
“ผมไม่ต้องการหมากฝรั่งตั้ง 20 กว่าชนิดหรอก ผมไม่ได้หมายความว่าผมไม่ต้องการตัวเลือก แต่ตัวเลือกพวกนี้เป็นรสที่ปรุงแต่งขึ้นนั้น”
ทำให้ในความเป็นจริงตัวเลือกแต่ละอัน ไม่ค่อยต่างกัน ค่าของตัวเลือก ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา ที่จะมองให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างตัวเลือกพวกนั้น ชาวอเมริกันฝึกมาทั้งชีวิต เพื่อเล่น “เกมส์จับผิด” พวกเขาฝึกกันมาตั้งแต่ยังเด็ก จนทำให้เชื่อว่าทุกคน ต้องเกิดมาด้วยความสามารถนี้ ในความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้คนเราจะมีความต้องการพื้นฐานและตัวเลือกเหมือนกัน แต่ทุกคนไม่ได้มีจำนวนหรือปริมาณของตัวเลือกที่เท่ากัน
ในเวลาที่คนเขามองไม่เห็นความต่างระหว่างสองตัวเลือก หรือเวลาที่มีตัวเลือกให้เลือกมากเกินไป กระบวนการในการเลือกอาจจะทำให้รู้สึกงงงวยหรือหัวเสีย แทนที่เราจะเลือกเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด แต่เรากลับต้องปวดหัวเพราะตัวเลือกที่มากมายเหล่านี้ หรือบางทีถึงขั้นรู้สึกกลัวกับสิ่งนี้ไปเลย ถ้าเป็นแบบนี้ ตัวเลือกก็ไม่ได้หยิบยื่นโอกาสอีกต่อไป แต่กลับหยิบยื่น “ข้อจำกัด” เข้ามาให้ มันไม่ใช่สิ่งที่แสดงถึงอิสรภาพ แต่เป็นความรู้สึกอึดอัด เพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อยเหล่านี้ หรือสามารถพูดได้ว่า
ตัวเลือกสามารถกลายเป็นข้อจำกัดเมื่อมันถูกยัดเหยียดให้กับคนที่ไม่พร้อมจะรับมันจากตัวเลือกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนอเมริกันเองก็พบว่าตัวเลือกที่ไม่สิ้นสุดนั้น ดูเหมือนจะน่าสนใจในทางทฤษฎี มากกว่าทางปฏิบัติ
พวกเราต่างมีกายภาพ จิตใจ และอารมณ์ที่มีขีดจำกัด ที่ทำให้เราไม่สามารถ จะพิจารณาทุกตัวเลือกที่เราเจอ เช่น ของในร้านขายของชำ เลือกเท่าไรทั้งชีวิตก็คงไม่หมด มีหลายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อคุณมีตัวเลือกมากกว่าสิบอย่าง ความสามารถในการตัดสินใจของคุณจะลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ การลงทุน หรือเรื่องอื่นๆ แต่พวกเราหลายๆคนก็ยังเชื่อว่า พวกเราควรมีโอกาสตัดสินใจด้วยตัวเอง และแสวงหาตัวเลือกเพิ่มเติม
ซึ่งสิ่งนี้นำมาสู่ปัญหาที่สาม และอาจเป็นปัญหาหนักที่สุด นั่นก็คือ “คุณห้าม ปฏิเสธตัวเลือก” เพื่อเป็นการทดสอบ เธอข้ามทะเลไปยังฝรั่งเศส เธอได้คุยกับคู่หนุ่มสาว “ซูซาน และ แดเนียล มิชเชล” ทั้งคู่กำลังจะมีลูกด้วยกัน พวกเขาได้ตั้งชื่อให้ลูก ตามชื่อของคุณย่า แต่คืนหนึ่งตอนที่ซูซานท้องได้เจ็ดเดือน เด็กได้คลอดโดยใช้วิธีผ่า แต่บาร์บาร่า (ชื่อของลูกสาว) ต้องเผชิญกับสภาวะสมองขาดออกซิเจน ทำให้ไม่สามารถหายใจด้วยตัวเอง จึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
สองวันต่อมา หมอได้ให้ตัวเลือกกับครอบครัวมิชเชล พวกเขาสามารถเลือก ที่จะถอดเครื่องช่วยหายใจออกจากบาร์บาร่า ซึ่งจะทำให้เธอเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมง หรือจะเลือกไม่ถอดเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งเธอก็ยังต้องจากไปอยู่ดี ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ถ้าเธอรอดระยะนั้นมาได้ เธอก็จะตกอยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทรา พวกเขาจะทำอย่างไร?
จากงานวิจัยที่ชีน่าได้ร่วมกับ “ซิมอนา บอตติ” และ “คริสติน่า ออฟาล์” พ่อแม่คนอเมริกันและฝรั่งเศส ที่ได้รับการสัมภาษณ์ พวกเขาล้วนเคย ผ่านเหตุการณ์น่าเศร้าเช่นนี้มาแล้ว ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ก็ต้องเอาเครื่องช่วยหายใจออก และเด็กก็ต้องเสียชีวิต แต่มันมีความแตกต่างกันมากอยู่อย่างหนึ่ง ในฝรั่งเศส หมอเป็นคนตัดสินใจว่า ควรจะถอดเครื่องช่วยหายใจหรือไม่ และเมื่อไหร่
แต่ในอเมริกา การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับพ่อแม่เอง ถ้าถามว่าข้อแตกต่างนี้กระทบกับพ่อแม่ ที่พยายามทำใจหรือไม่? และเราก็พบว่า “มี” แม้ว่าเวลาผ่านไปแล้ว พ่อแม่ชาวอเมริกัน ก็ยังคงทำใจไม่ได้ หากเปรียบเทียบกับพ่อแม่ชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้พูดประมาณว่า
“โนอาห์ได้อยู่กับเราแค่เวลาสั้นๆ แต่เขาได้สอนเราหลายๆอย่าง เขาได้มอบมุมมองใหม่ชีวิตใหม่ให้กับเรา”
ในขณะที่พ่อแม่อเมริกันจะพูดประมาณว่า “ถ้าหาก” พวกเขารู้สึกเหมือนกับมีอะไรตั้งใจมาทรมานและบังคับให้เขาทำอะไร ๆ จนไปถึงรู้สึกเหมือนเป็น ฆาตกร แต่เมื่อพ่อแม่ชาวอเมริกันถูกถามว่าอยากให้คุณหมอ เป็นคนตัดสินแทนหรือไม่ ทุกคนจะตอบว่า “ไม่” พวกเขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาตัดสินใจแทนในเรื่องนี้ แม้ว่าการที่พวกเขาต้องเป็นคนเลือก จะทำให้เขารู้สึกแย่ ผิด หรือ โกรธ ในหลายๆกรณี บางครั้งพวกเขาถึงกับต้องไปพบจิตแพทย์ พ่อแม่กลุ่มนี้ไม่สามารถทำใจ ให้คนอื่นเลือกให้ได้ เพราะมันเป็นสิ่งตรงกันข้าม กับทั้งหมดทั้งปวงที่เขาได้รับการสั่งสอนมา มันเป็นเรื่องที่พวกเขาเชื่อในเรื่องของอำนาจ และจุดประสงค์ในตัวเลือก
ใน “The White Album” ของโจแอน ดิดิอองได้เขียนไว้ว่า
“พวกเราจะหาเรื่องราวมาปลอบตัวเอง เพื่อการอยู่รอด พวกเราให้ความหมายกับสิ่งที่เราเห็น และเลือกสิ่งที่เหมาะสมและดีที่สุด จากตัวเลือกที่มี คนเราอาศัยอยู่บนกฏเกณฑ์ของเรื่องที่มีภาพประกอบ ด้วยหลักความคิดที่เราเรียนรู้วิธีการหยุด และเปลี่ยนมโนภาพให้เข้ากับ สิ่งที่เราได้ประสบจริง”
เรื่องราวที่คนอเมริกัน บอกเราได้ว่า ความฝันของคนอเมริกัน คือ เรื่องราวของตัวเลือกที่ไม่มีที่สิ้นสุด การให้คำมั่นกับหลาย ๆ สิ่ง อิสรภาพ ความสุข และความสำเร็จ มันทำให้โลกทั้งใบอยู่ในมือคุณ และพูดได้ว่า “คุณสามารถครอบครองได้ทุกสิ่งอย่าง” มันเป็นเรื่องราวที่เยี่ยมมาก และทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่พอใจ เพราะระหว่างที่เขา กลับมาคิดพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน พวกเขาจะเริ่มเห็นช่องโหว่ และเริ่มเห็นว่าเรื่องนี้ ยังสามารถบอกเล่าในแบบอื่นอีกมากมาย
คนอเมริกันมักจะพยายาม เผยแพร่ความคิดของพวกเขาในเรื่องตัวเลือก โดยเชื่อว่าตัวพวกเขาจะได้รับ การต้อนรับยอมรับ แต่ประวัติศาสตร์และข่าวทุกวันนี้บอกเราว่า มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป การเปลี่ยนมโนภาพ การที่เราพยายามจะเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และการจัดการตลอดเรื่อง ไม่ได้เป็นเหมือนกันทุก ๆ ที่ ไม่มีเรื่องเล่าไหนที่จะสามารถนำไปใช้ได้กับ ทุก ๆ คน และทุก ๆ ที่ ยิ่งไปกว่านั้น คนอเมริกันเอง อาจจะได้คะแนนจากรวมตัวกัน ของมุมมองความคิดใหม่แล้วหล่อหลอมมาเป็นของตัวเอง ที่ผลักดันเรื่องตัวเลือกของพวกเขา
สิ่งอะไรก็แล้วแต่ที่สวยงามและมีการเปลี่ยนแปลง อะไรก็แล้วแต่ที่มอบมุมมองใหม่ให้กับเรา ไม่สามารถสื่อถึงผู้คน ที่พูดต่างภาษา แต่โจเซฟ บรอดสกี้ พูดไว้ว่า “มันเป็นบทกวี ที่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลง”
สิ่งนี้เสนอว่าการเปลี่ยนแปลง สามารถเป็นอะไรที่สร้างสรรค์ และเปลี่ยนแปลงการกระทำ เมื่อพูดถึงตัวเลือก เราจะได้มากกว่าเสีย โดยเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ เรื่อง แทนที่จะทดแทน เรื่องหนึ่งโดยเรื่องหนึ่ง เราสามารถเรียนรู้และสนุกไปกับ เรื่องราวที่หลากหลาย และอีกมากมายที่ยังไม่ได้เขียนขึ้น มันไม่สำคัญหรอกว่าเรามาจากไหน หรือว่าเรื่องราวของเราเป็นอย่างไร พวกเราต่างมีความรับผิดชอบ ที่จะเปิดกว้างสำหรับสิ่งที่แตกต่าง และตัวเลือกที่มากขึ้น และความเป็นตัวตนของมัน และนี่ไม่ได้นำไปสู่ การเป็นแช่แข็งของลักษณะสัมพันธ์ทางศีลธรรม แต่มันสอนให้เรารู้ว่า ควรกระทำอย่างไรและเมื่อไหร่ มันนำเราไปสู่ การเข้าใจในตัวเลือก จุดประกายความหวัง และได้มาซึ่งอิสรภาพ ที่มาจากการมีอยู่ของตัวเลือก แต่ไม่ได้ส่งถึงเสมอไป ถ้าเราเรียนรู้ที่จะพูดคุยกับคนอื่น แม้จะอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ก็จะทำให้เรามองเห็นตัวเลือก ไม่ว่าสถานการณ์จะผิดแปลก จะยุ่งยาก หรือจะสวยงามแค่ไหนก็ตาม
จากนั้นก็มี ผู้เข้าร่วมท่านหนึ่งสอบถาม
“คุณชีน่าครับ ในชีวประวัติของคุณยังมีบางอย่างที่ไม่ได้เขียนลงไป แต่ ณ ตอนนี้ ทุกคนทราบแล้วว่าคุณตาบอด และผมก็เดาว่าทุกคนล้วนมีคำถามอยู่ในใจ ว่า มันส่งผลต่อการศึกษาเรื่องการตัดสินใจอย่างไร เพราะในการศึกษานี้ คนส่วนมากต้องใช้สายตาในการป้อนข้อมูล อย่างเรื่องความสวยงามหรือสีอะไรประมาณนี้?”
ชีน่าตอบคำถามนี้ว่าสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของคนตาบอด ก็คือมันทำให้เธอมีมุมมองที่ต่างออกไป จากคนที่มีสายตาปกติ ในการเลือกตัดสินใจ แล้วอย่างที่คุณได้พูดไปแล้ว ว่ามันมีตัวเลือกมากมาย อย่างเห็นได้ชัดทุกวันนี้

เธอเล่าว่าครั้งหนึ่งเธอเคยสงสัยว่า จะทาเล็บสีอะไรดี? เธอกล่าวว่าเธอเป็นคนที่ต้องให้คนอื่นเป็นตัวช่วยออกความคิดเห็น แล้วเธอก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ ร้านเสริมสวยพยายามให้เธอเลือกทาสีเล็บระหว่างสีชมพูอ่อนสองโทน หนึ่งในนั้นคือ “Ballet Slippers” และอีกอันเรียกว่า “Adorable” เธอถามพนักงานสองคนที่เป็นคนแนะนำ หนึ่งในนั้นบอกว่า “เฉด Ballet Slippers เหมาะกับคุณมากค่ะ มันเป็นสีที่ดูสง่ามากคะ” แต่พนักงานอีกคนกลับบอกให้เธอใช้เฉด “Adorable มันเป็นสีที่มีเสน่ห์ค่ะ” เธอก็เลยถามต่อไปว่า “แล้วสองสีนี้ต่างกันอย่างไร” พวกเขาบอกว่า “อันหนึ่งดูสง่า อีกอันดูมีเสน่ห์” ชีน่ากล่าวว่ามันต้องมีอย่างหนึ่งที่พวกเธอเห็นพ้องกันก็คือ ถ้าเธอสามารถมองเห็น เธอก็จะเห็นถึงความแตกต่าง
เธอก็เลยทำการทดลองโดยเอาสองสีนี้เข้าห้องทดลอง แล้วเอาฉลากออก แล้วเชิญผู้หญิงเข้ามาในห้อง แล้วถามว่า “จะเลือกอันไหน?” ผู้หญิงห้าสิบเปอร์เซ็นนึกว่าชีน่าแกล้งพวกเธอ โดยการเอาสีเดียวกัน มาให้พวกเธอเลือก ถึงจุดนี้แล้วคุณอาจเริ่มสงสัยแล้วว่าใครโดนแกล้งกันแน่
ส่วนผู้หญิงที่สามารถเห็นความแตกต่างระหว่างสองสีนี้ ตอนที่ไม่มีฉลากพวกเขาเลือก “Adorable” แต่พอมีฉลาก พวกเธอเลือก “Ballet Slippers” เธอเลยปิดท้ายเรื่องนี้ด้วยการกล่าวว่า
“ดอกกุหลาบที่ถูกเรียกด้วยชื่ออื่นๆ อาจจะดูต่างกัน หรืออาจมีกลิ่นต่างกัน”

ที่มา : https://www.ted.com/talks/sheena_iyengar_the_art_of_choosing?language=en#t-1275845