จากนักดนตรีแจ๊ส เจ้าของ North Gate Jazz Bar หันมาปลูกข้าว สร้างนวัตกรรม เพื่อยกระดับข้าวไทย – “โอปอ – ภราดล พรอำนวย”
‘ข้าว’ เป็นสินค้าเกษตรอย่างหนึ่งที่ต่ายเชื่อว่าเราคุ้นเคยกับมันมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่เกิดจนโตแทบจะเรียกได้ว่าเจอกันทุกวัน เราคลุกคลีอยู่กับมันตลอดแทบทุกมื้ออาหาร และไทยเองก็เป็นประเทศที่ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 4 ของโลกในเวลานี้ ถ้าจะบอกว่ารสชาติและคุณภาพของข้าวบ้านเราถือเป็นนั้นมีชื่อเสียงระดับโลกก็คงไม่ผิดนัก
แต่ถึงแม้อย่างนั้นก็ตาม เรายังเห็นภาพชาวนาทำงานหนัก หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน กรำแดดปลูกข้าวเกี่ยวข้าวกว่าจะนำไปขาย แต่สุดท้ายสิ้นปีมาก็แทบไม่เหลืออะไรเลย ทำงานหนักแต่ผลตอบแทนนั้นแทบจะเรียกได้ว่าทำเพื่อความอยู่รอด ทำเพราะไม่มีทางเลือกซะมากกว่า ทั้งๆที่มันเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ แต่คนที่ปลูกจริงๆแล้วนั้นกลับลำบากและได้รับผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่
นี่เป็นปัญหาหนึ่งที่เราเคยได้ยินกันมาโดยตลอด มีหลายๆคนที่พยายามจะแก้ไขปัญหาตรงนี้แต่ก็ยังไม่ได้ออกมาเป็นอะไรที่จับต้องได้ แต่วันก่อนต่ายไปเจอโพสต์หนึ่งบนเฟซบุ๊คกรุ๊ป “กาดหมั้วซั่วแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่” ครับ เป็นโพสต์ประกาศขายสินค้าชื่อ “YoRice Amazake” สิ่งแรกที่เตะตาคือแพคเกจจิ้ง แต่สิ่งที่ทำให้ต่ายสนใจมากขึ้นไปอีกคือคำอธิบายที่บอกว่า “ตัวเองมีอาชีพเป็นนักดนตรีแต่ช่วงนี้ตกงานเลยหันมาปลูกข้าวและศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมอาหาร” (โพสต์นั้นก็คือโพสต์นี้เองครับ)
ต่ายก็ IB ไปหน้าแฟนเพจของร้านเพื่อขอสัมภาษณ์ถึงแนวคิดและแรงบันดาลใจในการลุกมาทำอะไรที่แปลกใหม่ครั้งนี้ เพราะมันเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทยพื้นบ้าน แปรรูปและปรับตัวให้เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่หรือรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น นั้นคือแนวคิดของคุณ โอปอ-ภราดล พรอำนวย ที่จะพยายามจะพัฒนาข้าวพื้นบ้านไทยให้มีคุณค่าและช่วยช่วยเหลือเกษตกรในระยะยาวได้ยังไง
แนะนำตัวนิดหนึ่งครับ
“ผมชื่อ โอปอ ภราดล พรอำนวย ครับ เป็นนักดนตรีแจ๊ส ผมเป็นเจ้าของ North Gate Jazz Bar และ Thapae East ผมเคยทำคาเฟ่ด้วย ชื่อ Birdnest ผมทำขนมปังเองด้วยนะตอนนั้น”
หลายคนอาจจะรู้คุณโอปอในชื่อ ‘ปอ นอร์ทเกต’ เล่าว่าพื้นเพคุณพ่อคุณแม่เป็นคนกรุงเทพฯ แต่คุณโอปอเติบโตมากับคุณแม่และน้า หลังตลาดธานินทร์ก็เลยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเชียงใหม่

คุณโอปอเล่าให้ฟังว่าช่วงที่เรียน ปวช. เป็นช่วงที่เริ่มมาเป่าแซคโซโฟนและเล่นกีต้าร์คลาสสิค ก่อนจะมาเรียนที่ มช.
“ตอนเด็กแม่ของผมก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนะ ละก็จะมีน้าผมอีกคนที่ช่วยกันเลี้ยงผม น้าผมกับแม่ผมบางทีถ้าไม่มีคนอยู่บ้านผมก็จะตามน้าไป The Riverside แล้วก็จะไปนั่งรอข้างเวที นอนเล่นใต้เปียโน เลยได้แรงบันดาลใจมาจากตรงนี้ด้วย และด้วยความที่เป็นเด็กก็เล่นไปจับเม้าส์ออแกน จับกีต้าร์ แต่พอได้มีหัดเล่นแซ็กโซโฟน ผมก็เกิดหลงใหลในดนตรีแจ๊ส”
“ตอนนั้นผมได้ทุนไปเรียนดนตรีเป็นคอร์สสั้นๆ ที่อเมริกา แล้วผมก็กลับมาเรียนต่อจนจบ หลังจากนั้นก็เริ่มต้นตามความฝันที่อยากออกเดินทาง”
ถ้าใครยังพอจะจำกันได้คุณโอปอเคยไปออกรายการ ‘คนค้นฅน’ มาด้วยนะครับ
จากนั้นคุณโอปอก็เล่าให้ต่ายฟังว่าตัวเองได้โบกรถไปเรื่อยๆจากเชียงใหม่ไปถึงโตเกียว ไปอังกฤษ ไปฝรั่งเศส มันเป็นการผจญภัยที่เปลี่ยนชีวิตมาก คุณโอปอยังเคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยนะครับ ชื่อว่า “ลมใต้ปอด”
ที่มาที่ไปของการมาทำ YoRice ก็คือช่วงวิกฤตโควิด 19 รอบแรก
“รอบแรกเรายังชิวนะ เรากับเพื่อนๆ ยังช่วยกันออกแบบขับเคลื่อน #ครัวกลาง ในการช่วยเหลือชุมชน ยังมาช่วยกันระดมข้าวให้กับค่ายผู้อพยพบริเวณชายแดน คนหกพันคนมีปัญหา มีเด็กประมาณสองพันห้าร้อยคน หนึ่งพันห้าร้อยคนเป็นเด็กกำพร้า ครั้งนั้นมีความพยายามระดม ข้าวสารหัก กิโลกรัมล่ะ 15 บาท สำหรับการช่วยเหลือ 1 ครอบครัว/ 1 มื้อ”
“ครั้งนั้นเราสามารถระดมข้าวได้ 150 กว่าตัน และทำให้เกิดการตั้งคำถามมากมายขึ้นในใจเกี่ยวกับข้าว และเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ว่าทำไมมันถึงราคาถูก ทำไมมันไม่มีมูลค่า ทำไมเกษตรกรไม่มีโอกาสได้กินข้าวคุณภาพดีปลอดสารพิษเพื่อสุขภาพของพวกเขาเอง ทำไมมีข้าวกว่า 20,000 ชนิด แต่เราได้มีโอกาสได้กิน หรือรู้จักกันเพียงไม่กี่ชนิด … และอีกหลายๆ คำถาม”
จากความสนใจในเรื่องข้าว คุณโอปอสงสัยว่าทำไมเข้าที่เป็นสินค้าเศรษฐกิจถึงไม่มีมูลค่า และถ้าเรายังมัวแต่ระดมทุนเอาข้าวให้เกษตกรก็คงไม่ได้ไม่นาน คุณโอปอ และทีมงานก็เลยคิดโครงการ ที่อยากชวนเกษตรกรมาปลูกข้าวอินทรีย์ และหาทางเพิ่มมูลค่าของข้าว น่าจะเป็นทางออกของการให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบในระยะยาว จนในที่สุดก็ได้มาเจอกับคุณหมอก้องเกียรติ (นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์) คุณหมอที่ไม่อยากให้โลกนี้มีหมอ แต่เชื่อว่ามนุษย์สามารถทานอาหารให้เป็นยา เพื่อสุขภาวะที่ดีของสังคม คุณหมอทำงานวิจัยเรื่องข้าวมาตลอด 10 ปี และตั้งแต่วันนั้น ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ YoRice Amazake แปลตรงตัวว่าสาเกหวานที่ไม่มีแอลกอฮอล์
“ตอนโควิดรอบแรกเราก็ไม่คิดมันจะมีระลอก 2 ระลอก 3 ก็คิดไม่ถึง ยอมรับว่าประมาทเกินไป” (คุณโอปอพูดแล้วก็หัวเราะ)

หลังจากที่คุณโอปอมีไอเดียว่าอยากเพิ่มมูลค่าข้าวแล้ว แต่กว่าจะมาออกมาในรูปแบบของผลิตภัณฑ์
“โดยส่วนตัวแล้วเวลาจะทำธุรกิจผมก็จะทำไปตามขั้นตอน แต่ทางสายผลิตภัณฑ์เนี่ยเป็นสิ่งใหม่และเป็นสิ่งแรกเลยที่ผมไปเรียนรู้ อยากจะเข้าใจการปลูกข้าวมากขึ้น ทำอะไรสักอย่างผมก็อยากทำอะไรให้ถึงที่สุด”
“ผมก็ไปปลูกข้าว ดูระดับน้ำ ดูฤดูกาล การเพาะเมล็ด ค่าจุลินทรีย์ในนา การขับรถไถ ดูว่าความรู้สึกมันเป็นยังไงกับการที่เราได้อยู่ในท้องนา ชาวนารู้สึกยังไงในท้องนามีทรัพยากรอะไรบ้าง”
“พวกเราโชคดี ที่ได้มาเรียนรู้เรื่องราวของระบบนิเวศน์ทั้งสัตว์ และพืชพันธุ์บนท้องนา จากพี่ๆ เครื่อข่ายเกษตรอินทรีย์, เรื่องราววัฒนธรรมการปลูกข้าวไร่ ได้ฟังบทเพลงเตหน่า เพื่อขอบคุณเมล็ดข้าวของพี่น้องชนเผ่าปาเกอญอ ได้เดินทางไปดูการปลูกข้าวพันธุ์หายากที่ภาคอีสาน ทั้งข้าวสินเหล็ก ข้าวมะลินิลสุรินทร์ …”
”ทั้งหมดนี้ผมกับทีมงานก็ค่อยๆ เรียนรู้ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งโชคดีที่มีโอกาสได้ร่วมทำงานวิจัยกับพี่หมอก้อง (นพ.ก้องเกียรติ) จนได้คุยกันว่าที่ญี่ปุ่นมีอาหาร Super Food ที่ได้รับความนิยมมาตลอดยุคสมัยก็คือ Amazake ที่คนญี่ปุ่นจะนำข้าวโคจิ (เชื้อรา Aspergillus Oryzae) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อนำไปหมักกับข้าวหุงสุก เอนไซม์ในโคจิจะไปย่อยแป้งข้าวให้เป็นความหวานที่เกิดจากนำ้ตาลเส้นสั้น ที่ร่างกายดูดซึมได้ มีวิตามินบี กรดอะมิโน สารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงแบททีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสมอง ซึ่งทั้งหมดนี้อ้างอิงจากงานวิจัยของคุณหมอที่ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยราชภัฎนครพนม”
“แต่กว่าเราจะทำ Koji ได้ เรียกว่าเรียนรู้กันตลอดปี เพราะเป็นการทำงานกับเอนไซม์ของสิ่งมีชีวิต หรือเชื้อราในธรรมชาติที่มีประโยชน์ การเลี้ยงโคจิจึงมีทั้งเรื่องระยะเวลาการล้าง การแช่ การนึ่งข้าว และการควบคุมอุณหภูมิในห้องโคจิกว่า 70 ชั่วโมง -ทีมงานต้องแปลหนังสือญี่ปุ่นกันเลยว่าต้องทำยังไง”
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเรียนรู้ร่วมปี โดยตอนนี้ YoRice Amazake ได้ใช้ข้าวสายพันธุ์ญี่ปุ่น ก.กว.2 จากจังหวัดเชียงราย สำหรับการเพาะเชื้อโคจิ และใช้ข้าวหอมมะลิ รวมถึงข้าวมะลินิลสุรินทร์ สำหรับการหมักอามาซาเกะ รวมถึงมีแผนการต่อยอดข้าวพันธุ์พื้นบ้าน ทั้งข้าวดอย ข้าวสินเหล็ก ข้าวลืมผัว รวมถึงข้าวสายพันธุ์อื่นๆ สำหรับการต่อยอดในอนาคต
“คนสมัยก่อนสุดยอดเลยนะครับ ที่นาสูงต่ำ ระดับน้ำมากน้อยต่างกันก็จะปลูกข้าวต่างชนิด ทำให้นาผืนเดียวอาจปลูกข้าวหลายสายพันธุ์พวกเขาเลือกกินอาหารเพื่อเป็นยาของชีวิตจริงๆ”

เมื่อได้ผลิตภัณฑ์มากว่าจะเข้าสู่ตลาด
“เรื่องนี้เป็นโจทย์ที่ยากที่สุดโจทย์หนึ่งเลยครับ เพราะมันเป็นสิ่งใหม่มากสำหรับพวกเรา ถ้าจะให้ผมตอบแบบตรงๆ ก็คือ ก็ยังไม่รู้เหมือนกันครับ (หัวเราะ) รู้แค่ว่าหากเราไม่ลืมว่าเราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร และยึดมั่นความต้องการที่จะยกระดับข้าวไทยด้วยนวัตกรรม เราก็จะใช้สิ่งนี้เป็นเหมือนเข็มทิศนำทาง ก่อนเดินทางไกล ก็คงต้องเดินทางใกล้ก่อน ที่ผ่านมาก่อนโพสต์ขายในเพจ ‘กาดมั่วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่’ เราได้ทดลองทำตลาดกับชาวญี่ปุ่นอยู่ประมาณหนึ่งเดือน ซึ่งต้องขอบคุณทีมงานเพื่อนชาวญี่ปุ่น ซึ่งผลตอบรับที่ดี หลายครอบครัวกลับมาซื้อซำ้ บางครอบครัวอยู่ไกลถึงต่างอำเภอก็ยังขับรถมาซื้อกลับไปหลายสิบขวด ก็ทำให้ทีมงานทุกคนรู้สึกมั่นใจในคุณภาพ และรสชาติมากขึ้น จนได้เริ่มเปิดตลาดแนะนำให้กับกลุ่มคนไทยที่รักสุขภาพ”
คุณโอปอเห็นว่าการสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าเป็นหัวใจสำคัญ ที่ผ่านมาก็มีความพยายามอย่างเต็มที่จะพัฒนาปรับปรุงทุกขั้นตอนให้ดีขึ้น ทั้งกระบวนการผลิต การออกแบบฉลาก รูปแบบการสื่อสาร รวมถึงการรักษามาตรฐานเพื่อให้ผ่าน อย. (สำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยา) – ในวันที่ต่ายไปพบคุณโอปอ วันนี้คุณโอปอกำลังจะไปรับผลมาเลยครับ
“กระบวนการปรุงอามาซาเกะ หมายถึงการรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสม กับสัดส่วนของข้าว โคจิ เกลือ และนำ้ ...ที่ญี่ปุ่นมาการกินอามาซาเกะเป็นของหวาน เขาจะกินไปพร้อมกากข้าวเพราะมีการใยอาหารที่มีประโยชน์สูง และจะฟานขิงใส่เพื่อตัดความหวานลง บางดื่มใส่น้ำแข็ง หรือโซดา บ้างอุ่นให้ร้อนและดื่มก่อนนอนเพื่อให้นอนหลับง่าย ทั้งมีการนำไปประยุกต์เป็นขนมหลากหลายทั้ง คิทแคท หรือป๊อกกี้รสอามาซาเกะ ทั้งไอศกรีมก็มี”
จะทำยังไงให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยได้
“ผมคิดว่าการชี้ให้เห็นคุณค่า รวมถึงคุณประโยชน์คงสิ่งสำคัญสำหรับการเริ่มต้น รวมถึงเรื่องราว และจิตวิญญาณของข้าวไทย ที่เป็นเหมือนรากฐานของสังคม วัฒนธรรมแห่งโลกตะวันออกเลยก็ว่าได้ ด้วยสิ่งนี้พวกเราเชื่อว่าจะสามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยได้ครับ”
“หากพูดถึงในเชิงสุขภาพ ผมและทีมงานทุกคนตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงคุณประโยชน์อันหลากหลายของข้าวไทยพื้นบ้าน ที่จะมาสร้างประสบการณ์ทางความรู้สึกผ่านรสชาติ แห่งข้าวที่คุณจะไม่เคยสัมผัสมาก่อน และด้วยรสชาติอันหอม หวาน เต็มเปี่ยมด้วยคุณค่าเหล่านี้ ผมเชื่อว่าที่จะทำให้มุมมองของพวเราที่มีต่อข้าวทุกเมล็ดเปลี่ยนแปลงไป… “
โปรเจค เป็นสุขในนา ก็คือโปรเจคใหญ่ซึ่ง YoRice ก็อยู่ใต้โปรเจคนี้ โปรเจคเป็นสุขจะเป็นโปรเจคที่จะเอาเรื่องของท้องนามาสื่อสาร ความสุขในผืนนาเล็กๆ ความหลากหลาย ความหยั่งยืน เรื่องข้าว เรื่องของพืชพันธุ์ที่อยู่ในแปลงนาในมิติของเกษตรกรและนักดนตรี
“ผมเขียนสตอรี่ไว้ เป็นสุขในนา มีประมาณ 23 ตอน ลองไปดูเลยได้นะบน Facebook #ในนาไดอารี่”

มันก็เลยไปเกี่ยวกับปรัชญาบนเว็บไซต์ใช่ไหมครับ
“ปรัชญาบนเว็บไซด์ คือเข็มทิศที่พวกเราทีมงานตั้งธงไว้นะครับ จะได้ไม่หลงทาง.. ว่าพันธกิจนี้คือการเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทยด้วยนวัตกรรม”
“การลุกขึ้นมาทำบางอย่าง ผมเห็นว่ามันมีเรื่องของลำดับขั้นตอน ซึ่งขั้นตอนของแต่ละคนก็คงไม่เหมือน แตกต่างกันไปตามการให้ความหมายชีวิต และความฝัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญก็คือการมีวินัย วินัยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการจัดระเบียบซะทีเดียวแต่ผมหมายถึง ความซื่อสัตย์ที่คุณจะมีต่อชีวิต และความฝันของคุณเอง เพราะในชีวิตหนึ่งคุณคงไม่ได้อยากเป็นเพียงแค่ผู้มาเยือน แต่คุณคงอยากที่จะมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายบางอย่าง … ผมเห็นอย่างนั้นนะ ”
ช่องติดต่อ
เว็บไซต์ : http://yoricedrink.com
เฟซบุ๊คแฟนเพจ : YoRice Amazake เครื่องดื่มสุขภาพ
เบอร์โทรศัพท์ : 095 595 5244