นั้นสิครับ…ผมก็ครุ่นคิดถึงคำถามนี้ตลอดระหว่างที่นั่งดูซีรี่ย์ “The Kingdom” ที่เพิ่งจบได้แบบ Cliffhanger อย่างมาก (คืออยากรู้มากว่าตัวเอกจะต้านฝูงซอมบี้ได้ยังไง) คือที่คำถามนี้ผุดขึ้นมาก็เพราะว่าอย่างแรกเลยผมนั่งเสพคอนเทนท์บน iPad โดยระหว่างนั้นก็ใช้ iPhone เพื่อเช็คว่าซีซั่นสองจะมาเมื่อไหร่ แล้วอยู่ๆก็มีความคิดขึ้นมาว่า “ทำไม Apple ไม่ซื้อ Netflix ไปให้เลย ไหนๆตัวเองก็พยายามมาทางนี้อยู่แล้ว ถ้าซื้อ Apple ก็จะกลายเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดทันที มีคอนเทนท์ของตนเองเพียบ แถมยังขายสมาชิกรวมกับ iCloud เป็นรายเดือนไปเลยก็ได้ ฯลฯ”
แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นเพียงความคิดวูบหนึ่งเท่านั้น เพราะมันไม่น่าจะเกิดขึ้นหรอก (มั้ง) และนี่คือเหตุผลว่าทำไม Apple มีเงินมากพอในกระเป๋าแต่ไม่น่าจะซื้อ Netflix มาไว้ในอ้อมกอด
1.มันยังมีอะไรในกอไผ่อีกมากมาย
ต้องบอกว่าธุรกิจ Streaming นั้นเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดพร้อมช่วงชิงส่วนหนึ่งของก้อนเค้กชิ้นนี้ โดย Apple เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ใช้เงินในการสร้างคอนเทนท์ไป 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งถ้าเทียบกับ Netflix ที่ 8 พันล้านเหรียญแล้วก็ถือว่าน้อยมาก แต่มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะมีการรวมตัวกันเกิดขึ้น เหมือนกับตอนที่ธุรกิจภาพยนต์กำลังบูมในช่วงแรกๆ ก็มีหลายสตูดิโอที่ผลิตผลงานออกมา กว่าจะมารวมตัวกันก็หลายสิบปี แถมการรวมตัวกันส่วนมากก็เป็นเรื่องเงินทอง ซึ่งทั้งสองบริษัทก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรตรงนี้
2.Apple ยังมือใหม่
แม้ว่าจะมีคอนเทนท์เป็นของตัวเองบ้างแล้ว (Planet of the Apps, Carpool Karaoke) Apple ก็ยังถือว่าเป็นเด็กใหม่ในชั้นเรียนอยู่ดี พวกเขามีแผนการที่จะทยอยปล่อยผลงานออกมาเรื่อยๆ โดยที่ถ้าพวกเขาอยู่ไปซื้อ Netflix เลย สิ่งที่พวกเขาจะได้คือคอนเทนท์ แต่ไร้ซึ่ง know-how ที่จะไปผลิตผลงานในอนาคต สิ่งที่พวกเขาต้องทำต่อจากนี้คือเข้าใจตัวธุรกิจเองก่อนที่คิดจะไปควบรวมกับที่อื่น
3.เจ้าระเบียบ
เปรียบ Apple เป็นคนก็คงเป็นคุณครูฝ่ายแนะแนว ที่ค่อนข้างทีระเบียบที่ตรงเป๊ะ คอนเทนท์ที่พวกเขาทำนั้นต้องเป็น family-friendly เพราะมีรายงานว่าพวกเขายกเลิกซีรี่ย์หนึ่งที่ถ่ายเสร็จหมดแล้วเพราะห่วงว่ามันจะมีการเหยียดผิว แม้ว่าตัว Apple เองจะไม่ได้สนใจหรอกว่าคอนเทนท์จากที่อื่นเป็นยังไง แต่ถ้าตีตรา Apple แล้วหล่ะก็เราคงไม่มีโอกาสได้เห็น Orange Is the New Black หรือ Daredevil อย่างแน่นอน
4.ราคาแพง
จากรายงานผลประกอบการของ Apple ล่าสุดที่ผ่านมา พวกเขามีเงินสดในกระเป๋าตังค์ประมาณ 130,000 ล้านเหรียญ (ประมาณ 4.1 ล้านล้านบาท) ชัวร์…พวกเขาต้องคิดหาทางที่จะใช้เงินสดตรงนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด การซื้อบริษัทที่กำลังเติบโตก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย แต่ถ้าพวกเขาอยากซื้อ Netflix จริงๆแล้วหล่ะก็เงินของพวกเขาน่าจะหมดเลยหรืออาจจะเหลือทอนเศษสตางค์นิดหน่อย ซึ่งก็ไม่ใช่ Apple แน่นอนที่จะทุ่มบ้าระห่ำแบบนั้น และNetflix ก็คงไม่ได้อยากขายด้วย

5.ใหญ่ๆพี่ไม่ เล็กๆพี่ชอบ
ในประวัติศาสตร์ของ Apple แล้วไม่ค่อยมีการซื้อควบบริษัทขนาดใหญ่มูลค่าสูงเท่าไหร่ นอกจากที่จ่ายไปสามพันล้านเหรียญเพื่อซื้อ Beats นอกจากนั้นพวกเขาก็จะซื้อแต่บริษัทเล็กๆ เพื่อเอามาเสริมกับบริษัทของตนเองมากกว่า ไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมาจนกว่าการซื้อขายจะเสร็จสิ้นและการซื้อ Netflix ไม่ใช่สไตล์ของ Apple เลย
6.ใครจะอยากขาย?
ต่อเนื่องจากข้อที่ 4 เพราะตอนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ Netflix อยากจะขายธุรกิจของตนเอง (แม้ว่าก่อนหน้านี้สองสามปีที่ Reed Hastings ได้ขายหุ้นของเขาไปบ้างก็ตาม ตอนนั้นมีข่าวลือว่าเพราะพวกเขาไม่เห็นโอกาสในการทำธุรกิจอีกต่อไป กำลังหาทางหนีออกจากตรงนั้น แต่ข่าวลือก็คือข่าวลือนั้นแหละครับ) ยอดตัวเลขของสมาชิกนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ใหม่ๆอย่างเอเชีย จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องการบริษัทแม่แห่งใหม่เร็วๆนี้
7.ใกล้กันเกินไป ไฟมันสปาร์ค
ข้อนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ด้วยความที่ Netflix เป็นซอฟแวร์ และ Apple เป็นฮาร์ดแวร์ พวกเขาอยู่ในความสัมพันธ์ที่ลงตัวแล้ว ถ้า Apple เกิดซื้อ Netflix ขึ้นมาจริงๆ พวกเขาอาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย เพราะจะเป็นทั้งผู้ผลิตคอนเทนท์และจัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ด้วย (คือมันก็มีเคสของ Amazon ที่ยังรอดตัวอยู่เพราะ Amazon Studios นั้นเติบโตมาจากภายใน)
8.ความคุ้มค่าที่ยังไม่รู้จะไปต่อยังไง
เอาตามตรง Apple ซื้อ Netflix ก็ไม่ได้เหมือนกับไปซื้อสตูดิโอใหญ่ๆแย่าง Warner Brothers, Comlumbia Pictures หรือ 21st Century Fox หรอก เพราะ Netflix ไม่ใช่สตูดิโอแบบที่ดั่งเดิมที่เราคุ้นเคย พวกเขาเป็นผู้ผลิตและคนกระจายสินค้า ทำงานและมีสัญญากับสตูดิโออิสระและผู้ผลิตคอนเทนท์เพื่อสร้างงานออริจินอลให้พวกเขา สิ่งที่ Apple จะได้จากเงินหลายพันล้านดอลล่าห์คือสมาชิกหลายร้อยล้านคน ซึ่งสุดท้ายแล้ว Apple ก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะทำยังไงกับสมาชิกเหล่านั้น
แน่นอนว่าไม่มีข่าวลือใดๆทั้งสิ้นเกี่ยวกับการซื้อขายครั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงคำถามที่โผล่เข้ามาแล้วก็พยายามตอบมันให้ได้ เหตุผลเหล่านี้ก็ล้วนเป็นความคิดเห็นจากตนเองเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมากครับ Netflix ก็ยังเป็นของ Netflix อยู่นั้นแหละ…อย่างน้อยก็จนกว่า Apple จะมาซื้อไปจริงๆนั้นแหละ