ทุกครั้งที่ผมได้ยินคนพูดว่า “เป็นนักเขียนทำงานที่ไหนก็ได้นี่ดีจังเลย” จะรู้สึกปวดจี๊ดตรงหัวใจขึ้นมาทันที (5555)
เราเอาตัวเองไปเทียบกับใคร? เพื่อนจากมหาวิทยาลัย? รุ่นน้อง รุ่นพี่? เรารู้สึกตามคนอื่นไม่ทันเพราะระดับความสุขของเราไปเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมและสังคมที่เราอยู่
ตั้งแต่เกิดจนวันสุดท้าย ไม่มีใครที่จะมีประสบการณ์เหมือนกับเรา ไม่มีใครที่จะมีมุมมองชีวิตเหมือนกับเรา โลกใบนี้ให้โอกาสที่เราจะได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เป็นของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่ชีวิตทุกคนได้รับ
คนที่ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์นั้นเป็น “essentialist’ หรือคนที่สามารถแยกแยะสิ่งที่ ‘สำคัญ’ กับ ‘ไม่สำคัญ’ ออกจากกันได้ในชีวิต
วันก่อนมีโอกาสได้นั่งดื่มกาแฟกับพี่หนุ่ม-โตมร ศุขปรีชา นักเขียนและคอลัมนิสต์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของบ้านเรา
แพชชั่นกลายเป็นคำสวยหรูศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ว่าจะทำงาน ทำธุรกิจ บางทีมันก็เวิร์ค แต่บางทีไม่ว่าคุณจะมีแพชชั่นกับมันมากขนาดไหน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไม่พอ
ถึงจุดหนึ่งที่ผลลัพธ์อาจจะเริ่มไม่ได้เป็นอย่างหวัง มันเริ่มท้อ คนเริ่มไม่สนใจ ทำอะไรก็เริ่มติด ๆ ขัด ๆ เวลานี้แหละที่เราจะเริ่มหลงทาง แทนที่จะพยายามทำให้ดีขึ้น แต่เรากลับเริ่มสนใจ ‘คนอื่น’ มากกว่า
เราอาจเลือกเดินในทางของโลกที่คนอื่นเห็นว่า ‘เหมาะสม’ อายุเท่านี้ควรแต่งงานแล้วสิ อายุเท่านี้ควรมีลูกแล้วสิ อายุเท่านี้ควรมีบ้านแล้วสิ ฯลฯ หรือ…เราเลือกเดินในทางที่ตัวเองอยากเดิน
คล้ายกับการยิงธนู เราฝึกยิงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เราจดจ่อกับการเตรียมตัวให้ดีที่สุด เล็ง แล้วก็ปล่อย ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกแล้วครับ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมเคยคิดว่าตัวเองมีความสามารถเพียงพอที่จะหลายอย่างพร้อมกันได้ เป็นมนุษย์กึ่งซุปเปอร์แมนที่ทำงานเขียนเต็มเวลาแต่ทำธุรกิจไปด้วยได้…แต่ผมคิดผิดครับ