6 บทเรียนการถูกปฏิเสธ 100 ครั้ง : ชีวิตที่คุณต้องการอาจจะห่างออกไปแค่การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว
เมื่อเขาอายุ 6 ขวบ เจีย เจียง (Jia Jiang) เด็กชายสัญชาติจีนที่ปักกิ่งได้รับประสบการณ์ที่ทำให้เขาลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต
คุณครูประจำชั้นมีไอเดียในการมอบของขวัญให้เด็ก ๆ ที่น่าสนใจ ในชั้นประถมมีเด็กทั้งหมด 40 คน คุณครูจะให้เด็กออกมาหน้าชั้นทีละคนแล้วเรียกชื่อเพื่อนในห้องที่ทำความดี เพื่อนคนที่ถูกเรียกชื่อก็เดินของมาเอาของขวัญได้
40 คน เหลือ 20 คน เจียงคิดว่าเพื่อนคงจะเรียกชื่อเขาเป็นคนต่อไป แต่ก็ไม่ใช่ จนเหลือ 10 คน ก็ยังไม่มีใครเรียกชื่อเขา ความกังวลเริ่มเข้ามาจับที่หัวใจน้อย ๆ ของเด็กชายคนนั้น จนสุดท้ายเหลืออยู่ 3 คน และเจียงก็เป็นหนึ่งในนั้น และคำชมเชยก็หยุดลง
เจียงร้องไห้เสียใจ คุณครูบอกเพื่อน ๆ “ใครสักคนก็ได้ พูดอะไรดีๆเกี่ยวกับนักเรียนพวกนี้หน่อยซิ”
แต่ทั้งห้องก็เงียบ ด้วยความสงสารครูเลยบอกว่า “งั้นพวกเธอก็ไปหยิบของขวัญมาเลยละกัน แล้วปีนี้ก็ทำตัวดี ๆ หล่ะ ปีหน้าอาจจะมีคนพูดอะไรดี ๆ เกี่ยวกับพวกเธอบ้าง”
โอ้วโหว…มันเป็นประสบการณ์ที่โหดร้ายที่ฝังอยู่ในตัวของเจียงมาตั้งแต่ตอนนั้น เขาเรียนรู้ว่าการไม่ถูกเลือกและถูกปฏิเสธมันเจ็บปวดใจมากขนาดไหน มันเหมือนถูกล้อเลียนและคุณค่าในตัวเขาถูกทุบจนแตกสลายไปจนหมด ต่อจากนั้นมาเขาพยายามหลีกเลี่ยงและวิ่งหนีการถูกปฏิเสธมาโดยตลอด
8 ปีต่อมาเมื่ออายุได้ 14 ปี เขามีโอกาสไปฟัง บิล เกตส์ (Bill Gates) กล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองปักกิ่งและรู้สึกว่าเกตส์เป็นคนที่น่าทึ่งมาก กลับบ้านมาคืนนั้นเขาตั้งเป้าหมายในชีวิตว่า ‘ภายในอายุ 25 ปี เขาจะสร้างบริษัทและซื้อ Microsoft ให้ได้’
มันเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ และสองปีต่อมาเขามีโอกาสมาเรียนต่อที่อเมริกาและก็ตั้งใจว่านี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้เขาตามความฝันจนเป็นจริงได้

แต่ 14 ต่อมาเขาอายุ 30 ปี ความฝันที่จะซื้อ Microsoft ไม่ได้เกิดขึ้น แม้แต่ความฝันในการเป็นผู้ประกอบการเจ้าของธุรกิจก็ไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ เขาเรียนจบและทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่บริษัทแห่งหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่าตัวเอง ‘ติด’ อยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้และไม่พอใจกับชีวิตเลย
เขาก็ถามตัวเองว่าทำไม? ไม่ใช่เพราะไม่อยากทำ เพราะเด็กชายวัย 14 ปีที่อยากสร้างอะไรบางอย่าง อยากประสบความสำเร็จในชีวิตยังมีอยู่ แต่เขากลับกลัวทุกครั้งที่จะเริ่มอะไรใหม่ ๆ อยากนำเสนอแผนงาน หรือพูดต่อหน้าคนอื่น ๆ ความกลัวของเด็กชาย 6 ขวบที่ถูกปฏิเสธก็จะผุดขึ้นมาและกดเขาให้ติดอยู่กับที่ตลอด
แต่เขาก็ตัดสินใจครับว่าจะลองเปิดบริษัทของตัวเองและไปขอทุนเหมือนสตาร์ทอัพอื่น ๆ นั่นแหละ และแน่นอนเขาก็ถูกปฏิเสธ มันทำให้เขาเสียใจมาก มากจนอยากจะล้มเลิกทุกอย่าง แล้วก็เขาก็นึกถึงวันที่ได้ฟังเกตส์พูดที่ปักกิ่งวันนั้นแล้วก็ตั้งคำถามว่า ‘ถ้าเป็นเกตส์จะยอมแพ้เหรอ? จะมีผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ คนไหนยอมแพ้อย่างนี้บ้าง?’
เขาลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จะไม่ยอมปล่อยให้เด็กหกขวบคนนั้น มากำหนดชีวิตผมอีกต่อไป และก็ไปเจอเว็บไซต์ที่เรียกว่า rejectiontherapy.com เข้า ซึ่งเป็นเกมส์ สร้างขึ้นมาโดยผู้ประกอบการชาวแคนาดา ชื่อว่า เจสัน คัมลี่ ซึ่งใน 30 วันให้คุณออกไป แล้วไปหาการปฎิเสธทุกๆวัน จนสุดท้ายคุณจะชินชากับการถูกปฏิเสธและจะเลิกกลัวมันไปเลย
เจียงชอบไอเดียนี้มาก แต่เขาบอกว่า 30 วันมันน้อยไป เขาทำ 100 วันเลยละกัน และก็ทำบล็อกเขียนเกี่ยวกับมันด้วย และนี่คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จาก ‘การถูกปฏิเสธ 100 ครั้ง’ จนมันเป็นประสบการณ์เปลี่ยนชีวิตของเขาให้กลายเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง นักพูดให้แรงบันดาลใจให้กับคนหลายล้านคนผ่านเวที Ted Talk และผู้ประกอบการอย่างที่ตัวเองตั้งใจไว้สำเร็จแล้ว
- อย่าเพิ่งวิ่งหนี
ภารกิจ ‘การถูกปฏิเสธ 100 ครั้ง’ แรกคือ ขอยืมเงินคนแปลกหน้า $100 (ประมาณ 3,800 บาท)’ ซึ่งวันนั้นเขาก็ประหม่ามาก ขนลุก หัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากหน้าอก เขาสูดหายใจลึก ๆ แล้วเดินดุ่ม ๆ ไปหาชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บริษัท
เจียง : “คุณครับ ผมขอยืม 100 ดอลลาร์ได้ไหม?”
ชายคนนั้น : “ไม่ได้…เอาไปทำไม?”
เจียงงึมงำ “อ๋อ ไม่ได้เหรอครับ? ขอโทษนะครับ” แล้วก็เดินหนีไปเลย
เขารู้สึกอาย ขายหน้า แต่ระหว่างนั้นเขาก็อัดวิดีโอของตัวเองไปด้วยเพื่อจะได้เห็นปฏิกิริยาของตัวเอง คืนนั้นเขานั่งวิดีโอนั้นซ้ำ ๆ แล้วเห็นตัวเองที่กลัวมาก แล้วเขาก็คิดว่าชายคนนั้นก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอะไร แถมยังถามเขาด้วยว่า ‘เอาไปทำไม?’ ซึ่งเจียงสามารถใช้โอกาสนี้ในการอธิบายเหตุผลให้เขาฟังก็ได้ แต่เขากลับวิ่งหนี
เขาเห็นเลยว่าทีผ่านมาเขาทำแบบนี้ตลอด เจอปฏิเสธปุ๊บวิ่งหนีทันที
นั่นคือจุดที่เขาตั้งปณิธานว่าวันรุ่งขึ้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะไม่วิ่งหนีอีกต่อไป จะประจันหน้าสู้กับมัน
- จงอธิบาย
วันที่สองครับ เขาจะ ‘ขอเติมแฮมเบอร์เกอร์’ ที่ร้านเบอร์เกอร์แห่งหนึ่ง ถ้าใครเคยไปกินเบอร์เกอร์ที่ร้านอย่าง Burger King หรือ KFC มันจะมีออพชั่น ‘Drink Refill’ หรือเติมเครื่องดื่มไม่อั้น อันนี้เจียงจะขอเติมเบอร์เกอร์ครับ หลังจากทานเสร็จเดินกลับไปที่เคาน์เตอ
เจียง : “ผมขอเติมเบอร์เกอร์ได้ไหมครับ?”
พนักงาน : “เติมเบอร์เกอร์? คุณหมายความว่าไงเติมเบอร์เกอร์?”
หลังจากนั้นเขาก็อธิบายให้ฟังว่าก็เหมือนเติมเครื่องดื่ม แต่เป็นเบอร์เกอร์แทน แน่นอนพนักงานที่ร้านตอบปฏิเสธ
แต่ครั้งนี้แทนที่เจียงจะวิ่งหนี เขารวบรวมความกล้าแล้วเริ่มอธิบายและต่อรองครับ
“ผมชอบเบอร์เกอร์ร้านคุณมากเลยนะ ถ้ามีแบบเติมเบอร์เกอร์ด้วยนี้จะเยี่ยมมาก ๆ เลย ผมจะยิ่งชอบพวกคุณเข้าไปอีก”
พนักงานของร้านก็หัวเราะแล้วก็บอกว่าจะไปบอกหัวหน้าให้เผื่อว่าจะมีบริการนี้ในอนาคต
เจียงเดินออกจากร้านแล้วรู้สึกว่า ‘เออ…มันก็ไม่ได้ตายนี่” ความกลัวที่จะวิ่งหนีในวันแรกเริ่มจางหายไป เขาได้เรียนรู้บางอย่างแล้วว่าการถูกปฏิเสธไม่ถึงกับตายและถ้าไม่วิ่งหนีก็จะมีโอกาสอธิบายมุมมองของตัวเองด้วย

- บางครั้งเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
วันที่สามเขาไปที่ร้านโดนัทคริสปี้ครีมครับ ครั้งนี้เขาขอให้ทางร้านทำโดนัทเชื่อมกันเป็นสัญลักษณ์โอลิมปิกครับ (แต่ละอย่าง!) เจียงก็คิดในใจว่าเขาก็คงถูกปฏิเสธอีกนั่นแหละ แต่ก็ไม่เป็นไรเขาเตรียมรับมือแล้ว
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือพนักงานขายมารวมตัวกันแล้วนั่งวางแผนกันว่าจะเอาแป้งมาเชื่อมกันยังไงแล้วทอดยังไงดี จริงจังเลย
15 นาทีต่อมา พนักงานก็เอากล่องคริสปี้ครีมออกมาให้ ข้างในมีโดนัทห้าวงเป็นสัญลักษณ์โอลิมปิกให้เขาได้สำเร็จ มันเป็นเรื่องน่าตกใจ เขาก็ตกใจ พนักงานก็ตกใจว่าทำได้จริง ๆ
เขาเอาวิดีโอนั้นลงยูทูปและมีคนเข้ามาดูถึง 5 ล้านคน โลกก็ตกใจเหมือนกัน และหลังจากนั้นคนก็เริ่มมาติดตามภารกิจถูกปฏิเสธ 100 วันของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ได้ลงหนังสือพิมพ์ รายการทอล์กโชว์ กลายเป็นคนดังไปเลย หลายๆคนส่งอีเมล์หาเขา บอกว่า “สิ่งที่คุณทำ มันสุดยอดไปเลย”
แต่เป้าหมายของเขาไม่ใช่ชื่อเสียง แต่เป็นการเอาชนะเด็กหกขวบคนนั้นให้ได้ ยังเหลืออีกหลายวันกว่าภารกิจจะสำเร็จ แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มสนุกกับมันแล้ว
- เวทย์มนต์ของคำว่า ‘ทำไม’
ระหว่างทำภารกิจวันหนึ่งที่ต้อง ‘ขอเข้าไปปลูกต้นไม้ที่สวนหลังบ้านคนแปลกหน้า’ เขาไปเคาะประตูบ้านของชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นปฏิเสธเขาอย่างสุภาพ ซึ่งแน่นอนตอนนี้เจียงเริ่มทำว่า ‘ผมขอรู้เหตุผลได้ไหมว่าทำไมครับ?’
สำหรับคนที่ถูกปฏิเสธคงรู้ว่าดีความรู้สึกที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่แค่การถูกปฏิเสธเท่านั้น แต่มันคือ ‘การไม่รู้เหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงถูกปฏิเสธ’
ชายคนนั้นก็อธิบายว่าเขามีหมาตัวหนึ่งที่ชอบขุดดิน ถ้าเจียงเอาต้นไม้ไปปลูกก็ตายอยู่ดี เสียดายด้วย ลองไปคุยกับบ้านตรงกันข้ามฝั่งถนนไหม บ้านนั้นชอบต้นไม้มากเลย
เขาไปเคาะประตูบ้านตรงข้ามแล้วเจ้าของบ้านก็ยินดีมากที่เจียงจะเอาต้นไม้มาปลูกที่สวนด้วย
เจียงเข้าใจแล้วว่าคนอื่นมีเหตุผลในการปฏิเสธ การคิดไปเองว่าตัวเองถูกปฏิเสธเพราะไม่ดีพอ อีกฝ่ายไม่เชื่อใจ แปลก แตกต่าง หรืออะไรก็ตามบางทีไม่ใช่เรื่องจริงเลย แต่เป็นเพราะสิ่งที่เจียงเสนอ ไม่ตรงกับสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการมากกว่า และอีกฝ่ายก็เชื่อใจมากพอที่จะบอกต่อว่าควรไปที่ไหนด้วย
- สร้างความเชื่อใจ
วันหนึ่งเขาเดินไปที่สตาร์บัคส์เพื่อไป ‘ขอเป็นคนยืนต้อนรับหน้าร้าน’ พนักงานสตาร์บัคส์หน้าเหวอไปเลยครับ อะไรคือคนยืนต้อนรับหน้าร้าน เจียงก็อธิบายให้ฟังว่าก็คนยืนต้อนรับลูกค้าเวลาเดินเข้าร้าน ทักทายนู้นนั่นนี้
พนักงานคนนั้นก็ทำหน้าคิดหนักเลย เจียงเลยพูดว่า ‘มันแปลกใช่ไหม?’ พนักงานก็ตอบ ‘แปลกมากเลยหล่ะ’ แล้วเจียงก็หัวเราะ แต่หลังจากนั้นท่าทีของพนักงานก็เปลี่ยนไปแล้วบอกเจียงว่า ‘ลองทำก็ได้นะ แต่อย่าแปลกเกินไปละกัน’
เจียงอธิบายว่าพูดออกไปว่า ‘มันแปลกใช่ไหม?’ เป็นเหมือนการทำลายกำแพงของความแตกต่างระหว่างเขากับพนักงานคนนั้น คือเจียงรู้ว่ามันแปลกและก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายก็คิดว่ามันแปลกเหมือนกัน งันก็แสดงว่าทั้งคู่ก็คิดเหมือนกันนั่นแหละ เป็นการสร้างความเชื่อใจว่าเจ้านี้มันก็ไม่ได้แปลกมากอะไร
- เราแค่ต้องถาม (อาจจะไม่ใช่ครั้งเดียว)
ครอบครัวของเจียงทำอาชีพอาจารย์มาสี่รุ่น คุณยายของเขาก็อยากให้เขาเป็นครู แต่ส่วนตัวเขาอยากเป็นผู้ประกอบการมากกว่า แต่ก็มีความฝันว่าอยากสอนสักครั้งเหมือนกัน
เขาเลยคิดว่างั้น ‘ลองไปขอสอนเด็กมหาวิทยาลัยได้ไหม?’ ก็ไปเคาะห้องอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย University of Texas, Austin (เพราะอยู่ที่เมืองนั้น) แล้วก็ขอสอนคลาสหนึ่ง อาจารย์ก็บอกไม่ได้ เขาก็พยายามอธิบาย แต่ก็ยังไม่ได้สุดท้ายก็กลับไป แล้วก็กลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้ก็ยังถูกปฏิเสธเหมือนเดิม
แต่เขาก็กลับมาอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม ตอนนี้เขาก็กลับมาพร้อมกับเพาเวอร์พ้อยท์และสิ่งที่จะสอน อาจารย์ก็รู้สึกว่า ‘เออ..น่าจะใช้ได้ งั้นอีกสองเดือนกลับมาใหม่ เดี๋ยวจะจัดคลาสให้สอน”
สองเดือนต่อมาเขาก็กลับมาสอนอย่างเต็มที่เกี่ยวกับเรื่องประสบการณ์ที่ถูกปฏิเสธมาเป็นร้อยครั้งนี่แหละ หลังจากสอนเสร็จเขาร้องไห้เลยและบอกกับต้วเองว่าเขาทำตามความฝันได้แล้ว เขาเอาชนะเด็กชายวัยหกขวบคนนั้นได้แล้วจริง ๆ
คนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกไม่ว่าจะเป็น มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์, มหาตมา คานธี, เนลสัน แมนเดลา, บิล เกตส์, สตีฟ จ๊อบส์, ไอน์สไตน์, โรซา ปาร์คส์ ฯลฯ ต่างเคยถูกปฏิเสธมาทั้งหมด แต่ไม่เคยให้การถูกปฏิเสธมาเป็นตัวกำหนดเส้นทางเดินของชีวิตพวกเขาเลย
บทเรียนของเจียงทำให้เห็นว่าการถูกปฎิเสธสามารถเปลี่ยนมาเป็นโอกาสได้ เป็นเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจช่วยคนอื่นๆ ให้เอาชนะกับความกลัวกับการถูกปฎิเสธได้
ถ้าตอนนี้คุณกำลังกลัวการถูกปฏิเสธ กำลังเผชิญหน้าอุปสรรค กลัวจะล้มเหลว ขอให้ย้อนกลับมาดูเรื่องราวของเจียง มองดูว่ามันเป็นโอกาส อย่าเพิ่งวิ่งหนี โอบกอดมันไว้ มันอาจจะเป็นของขวัญและเปลี่ยนชีวิตคุณเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับเจียงก็ได้
ชีวิตที่คุณต้องการอาจจะห่างออกไปแค่การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว
Jia Jiang: What I learned from 100 days of rejection | TED Talk