ปฏิเสธทุกอย่างก็ไม่ได้ ตกลงทุกอย่างก็ไม่ดี – ลองใช้เทคนิค ‘Tomorrow Rule’ เพื่อจัดสมดุลย์ให้ชีวิตจดจ่อและไม่ปิดกั้นโอกาสใหม่
ทุกคนคงเคยมีจังหวะที่รู้สึกว่า “เออ…ทำไมตอนนั้นถึงรับปากจะทำงานนี้นะ?”
ไม่ใช่เพราะไม่ชอบ ไม่ใช่เพราะไม่สนุก แต่ชีวิตมันยุ่งวุ่นวายซะเหลือเกินอยู่แล้ว ยังรับปากเขาไปทั่วว่าจะทำนู้นทำนี่ให้
สำหรับผมมันเกิดขึ้นบ่อย เพราะเป็นมนุษย์ผู้อยากรู้อยากเห็น อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำจริง ๆ ก็รู้สึกแบบนี้แหละครับ “ทำไมไปรับปากวะเนี้ย?”
พอมาย้อนดูจริง ๆ เหตุผลก็เพราะว่าผมสายตาสั้นไปครับ – มองอนาคตที่จะมาถึงในกรอบเวลาที่กว้างเกินไปนั่นเอง

คือส่วนใหญ่แล้วเวลามีคนมาชวนทำอะไรเขาก็จะวางเอาไว้สองเดือนหน้า สามเดือนหน้า หรืออย่างต่ำ ๆ ก็เดือนหนึ่งข้างหน้า เช่นมีคนชวนไปสอนเด็ก ๆ มหาวิทยาลัยต้นปีหน้าเกี่ยวกับเรื่อง ‘Storytelling’ ผมก็บอก ‘ได้สิ’ หรืออย่างมีคนมาขอเป็นแขกบนรายการ Podcast ช่วงสิ้นปี ‘ได้สิ’ หรือแม้แต่มีใครสักคนชวนให้เขียนคำนิยมหนังสือที่เพิ่งเขียนเสร็จเดือนหน้าผมก็คงตอบเหมือนเดิม ‘ได้สิ’
ลองชวนผมทำอะไรสนุก ๆ ในอนาคตครับ…ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ปฏิเสธเลย (จริง ๆ นะ)
ปัญหาคือการตอบ ‘ตกลง’ ในวันนี้เป็นอะไรที่มีความเสี่ยงต่ำ เป็นการเปิดประตูของโอกาสทิ้งเอาไว้เพื่อที่เราจะได้เดินไปในอนาคต 3 เดือนข้างหน้า สบาย! เดี๋ยวหาเวลาก็ทำได้อยู่แล้ว เราอยากเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ อยากช่วยเหลือคนอื่น พอถึงเวลาต้องทำจริง ๆ (แม้จะสนุก) แต่มันก็ชนกับสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำอย่างงานหรือภาระหน้าที่อื่น ๆ อยู่เสมอ
บางคนแนะนำให้ ‘Say No’ ปฏิเสธไปสิ อย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า
“คนอื่นจะอยากได้เวลาของคุณ มันเป็นสิ่งทีเดียวที่คุณซื้อไม่ได้ ผมซื้อได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ แต่ผมซื้อเวลาไม่ได้
ความแตกต่างระหว่างคนที่สำเร็จกับคนที่สำเร็จมาก ๆ คือคนที่สำเร็จมาก ๆ นั้นจะปฏิเสธเกือบทุกอย่างเลย”
ถึงจุดนี้คุณอาจรู้สึกว่าก็ทำเหมือนบัฟเฟตต์ไปเลย ปฏิเสธทุกอย่างเลย มุ่งเอาแต่งานของตัวเองจะได้สำเร็จ แต่ปัญหาคือว่าบัฟเฟตต์อาจทำได้ครับ เขาปฏิเสธทุกอย่างก็ยังได้ แต่คนส่วนใหญ่ ผมด้วยเช่นกัน…ทำไม่ได้ครับ เรามีสิ่งทีเรายังต้องพัฒนาและเรียนรู้อยู่ตลอด ต้องหาโอกาสเมื่อจำเป็น คว้าสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต ช่วยเหลือคนอื่น ใจดีกับคนอื่น
การตอบ ‘ตกลง’ บางครั้งเป็นการหาโอกาสจากสิ่งที่ เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้ง Amazon และหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเรียกว่าการ ‘Wandering’ หรือการ ‘ไปโดยไม่มีจุดหมายแน่นอน’ เขาเขียนไว้ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นปี 2018 ว่า
“บางครั้ง (ที่จริงบ่อยครั้งด้วย) ที่ในธุรกิจคุณรู้ว่ากำลังจะไปทางไหน และเมื่อคุณรู้ มันก็มีประสิทธิภาพมาก วางแผนและลงมือทำ เปรียบเทียบอีกด้าน การไปข้างหน้าแบบไม่มีจุดหมายแน่นอน (Wandering) ในธุรกิจไม่มีประสิทธิภาพ แต่มันก็ไม่ได้ส่งเดชด้วยเช่นกัน การไปข้างหน้าแบบไม่มีจุดหมายแน่นอนเป็นการถ่วงสมดุลย์กับประสิทธิภาพ คุณต้องมีทั้งสองอย่าง เพราะการค้นพบนอกกรอบ สิ่งที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง ส่วนใหญ่แล้วต้องการไปข้างหน้าแบบไม่มีจุดหมายแน่นอนนี่แหละ”
การบอกปฏิเสธกับทุกอย่างทำให้มีประสิทธิภาพในสิ่งที่เราต้องการโฟกัส แต่การตอบรับโอกาสใหม่ ๆ ที่เข้ามาก็ช่วยเปิดประตูสู่ประสบการณ์ใหม่ เจอคนใหม่ ๆ ความสัมพันธ์ที่คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าจะสร้างโอกาสใหม่ ๆ ได้มากขนาดไหน มันเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก
อย่างที่เบโซสบอกครับ คุณต้องมีทั้งสองอย่าง มีประสิทธิภาพด้วย แต่ก็อย่าลืมลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่รู้ด้วยเช่นกัน
แล้วจะทำยังไงหล่ะ?
เจฟฟ์ ฮาเดน (Jeff Haden) นักเขียนของเว็บไซต์ Inc. ได้เสนอเทคนิคหนึ่งชื่อว่า “Tomorrow Rule” หรือ ‘กฏวันพรุ่งนี้’ ไว้สำหรับการแก้ปัญหาตรงนี้ครับ
เขาบอกว่าให้ถามตัวเองหนึ่งคำถาม
“ถ้ามีคนขอให้ทำสิ่งนี้ในวันพรุ่งนี้ คุณจะทำไหม?”
มันเป็นการย่นกรอบเวลาลงมาให้กระชั้นมากขึ้น ทำให้เห็นถึงความสำคัญของมันว่าถ้ามันเกิดขึ้นพรุ่งนี้จะตกลงรึเปล่า ทำให้เห็นว่ามันสำคัญกับเรามากขนาดไหน สมมุตว่ามีคนชวนให้ผมไปเซ็นหนังสือที่งานพรุ่งนี้แบบกระทันหัน มันสำคัญกับผม ผมก็คงวางทุกอย่างแล้วไป แต่ถ้ามีคนมาชวนว่าไปขึ้นเวทีพูดสอนเด็กมัธยมปลายเรื่องการเป็นผู้ประกอบการวันพรุ่งนี้ แม้ว่าจะดูสนุก ผมก็คงไม่ทำอย่างแน่นอน
กฎข้อนี้ช่วยให้เราจัดเรียงความสำคัญของงานที่เราทำ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ วันนี้ พรุ่งนี้ ลดความอยากรู้ อยากทำ ตอบตกลงง่าย ๆ ไปซะทุกเรื่องให้น้อยลง ให้คุณได้ลงมือทำในสิ่งที่จะสร้างความแตกต่างให้กับเป้าหมายและความฝันของคุณ เพราะการปฏิเสธบางอย่าง ก็คือเวลาที่มากขึ้นสำหรับสิ่งที่สำคัญ ไม่ว่ากับงานหรือคนรอบข้างก็ตาม
======
https://www.aboutamazon.com/news/company-news/2018-letter-to-shareholders?tag=wwwinccom-20