คำถามแบบนี้มักโผล่ขึ้นมาเสมอกับธุรกิจที่กำลังเติบโต หลายต่อหลายครั้งมันก็เกิดขึ้นจริงๆซะด้วย (doubleclick โดน Google, aQuantive โดน Microsoft ฯลฯ) แต่สำหรับ Netflix หล่ะ เป็นไปได้ไหม? เพราะพวกเขากำลังอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ เรียกได้ว่าจะหาใครมาทาบในตอนนี้คงเป็นเรื่องยาก แต่…ถ้าพี่เบิ้ม Amazon หรือ At&t หรือ Comcast หรือ Apple หรือ…แม้แต่ Google, HBO, Disney และ Microsoft จะเป็นไปได้ไหม?
มีข่าวลือว่า Bob Iger ของ Disney ถาม Reed Hastings (CEO ของ Netflix) แบบตรงๆว่าเขาสนใจไหม? Hastings บอกคำเดียวว่า “ไม่”
ที่ผ่านมาเราเห็นหลายบริษัทที่กำลังพยายามปรับเปลี่ยนหน้าตาของธุรกิจบันเทิงที่เราคุ้นเคย หลังจากที่ Netflix ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีและเติบโตอย่างต่อเนื่อง Apple ทุ่มเงินกว่า 2,000 ล้านเพื่อดึงคนดังทั้งหลายมาสร้างคอนเทนท์ของตัวเอง Amazon ก็ไม่น้อยหน้าวางไป 5,000 ล้าน แต่ก็เทียบไม่ได้หรอกกับ Netflix ที่เผาเงินไป 15,000 ล้าน เพื่อเก็บลูกค้าและขยายเครือข่ายสมาชิกทั่วโลกที่มีมากกว่า 139 ล้านคนไปแล้วตอนนี้ ก่อนที่คู่แข่งคนอื่นๆจะตามมาทัน (อันนี้น่าจะเกร็งๆเพราะ Disney แยกวงด้วยแหละ)

บริษัททั้งหลายนั้นมีเป้าหมายเดียวกันคือรายได้สมาชิกรายเดือนจากผู้ชมทั่วโลก ถึงแม้ตอนนี้อาจจะยังไม่เคลียร์ว่าใครจะขึ้นมาแข่งกับ Netflix ในตลาดได้ หรือในตลาดจะสามารถรองรับผู้ให้บริการได้กี่เจ้า (คือ…คงมีน้อยแหละที่จะเป็นสมาชิกของทุกเจ้า) อาจจะสองหรือสามเจ้า เลือกที่ตัวเองดูบ่อยที่สุด มีโปรโมชั่นตัดราคา หรือมาพร้อมกับบริการอื่นๆอย่างเครือข่ายมือถือสมาร์ทโฟน (at&t) หรือแบบที่มีโฆษณาเหน็บมาด้วยคั่นเป็นพักๆแต่ราคาถูก หรือถ้าอย่าง Disney ก็ใช้ไม้กายสิทธิ์ร่ายเวทมนต์ “Bibbidi-Bobbidi-Boo” เอาเจ้าหญิงและรถม้าฟักทองทั้งหลายแหล่ออกมาเพื่อชนะใจคนดูก็เป็นได้ ซึ่งที่จริง Disney มีเยอะกว่านั้น อย่าง Marvel, Star Wars หรือ Pixar แต่เจ้าหญิงนั้นคือภาพจำที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี (อยากดูรีรันของ Mickey Mouse ตั้งแต่เป็นยุค Steamboat Willie ก็คงสนุกดี)
หรือในส่วนของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Amazon เองก็น่าสนใจ เพราะวีดีโอก็เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของธุรกิจของพวกเขา การดึงเอาลูกค้ามาได้เพื่อให้เป็นสมาชิกก็คล้ายๆกับจับมาอยู่ในอาณาจักรขนาดมหึมาของพวกเขาที่มี Prime members กว่า 100 ล้านคน ซึ่งก็มากโขอยู่นำหน้า Apple อยู่ไกลมาก แต่ถ้าเกิด Apple เลือกเทคนิคยิงวีดีโอฟรีๆ (ในช่วงแรก) ให้กับผู้ใช้งาน 1.4 พันล้านคนที่ใช้อุปกรณ์ของพวกเขาทั่วโลกหล่ะ? บริษัททั้งสองมีกระเป๋าหนา เงินสดเยอะ มีทางเลือกให้เล่นอีกมาก (อย่างน้อยก็มากกว่า AT&T, Comcast หรือ Disney)
Disney เจออุปสรรคที่แตกต่างออกไปจากเจ้าอื่นๆ แม้ว่าจะมีคอนเทนท์ของตัวเอง และเชื่อว่าน่าจะสร้างคอนเทนท์ใหม่ๆได้ดีพอสมควร ปัญหาแรกที่พวกเขาต้องเจอเลยก็คือรายได้ที่จะหายไปจาก Netflix เพราะหลังจากที่ดึงคอนเทนท์ของตัวเองออกมา ปีหนึ่ง 2 พันล้านที่รับมาก็จะหายไปด้วยเช่นเดียวกัน อย่างที่สองคือการที่จะสร้างระบบสตรีมมิ่ง Disney+ ของตัวเองและไปดูแล Hulu (ทีี่มีสมาชิกประมาณ 25 ล้านคน) ก็ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และสุดท้ายการจะดึงลูกค้าของเจ้าอื่นๆมาต้องมีการตัดราคาและรายได้น่าจะลดลงพอสมควร เป็นเกมส์การแข่งขันที่ยาวนาน พวกเขาต้องพร้อมกลั้นหายใจและเผาเงินเพิ่มถ้าอยากโผล่พ้นน้ำออกมาอย่างผู้ชนะ
Netflix อยู่ในจุดที่ได้เปรียบที่สุด เริ่มก่อนใครเพื่อน มีคอนเทนท์ที่สนุก มีระบบ AI ที่ทำงานเบื้องหลังอย่างดีเยี่ยม รู้ว่าคอนเทนท์ไหนที่เราน่าจะชอบและแนะนำเรื่องใหม่ๆมาให้เรื่อยๆจากประวัติการชมของลูกค้าแต่ละคน แต่ Netflix ก็ยังคงเป็นหนี้อยู่ประมาณ 10,000 ล้านเหรียญ เพราะฉะนั้นยังคงไม่กำไรในเร็วๆนี้ การกู้เงินเพื่อมาสร้างคอนเทนท์ใหม่จึงถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องทำ เพื่อให้พวกเขาเป็นผู้นำในธุรกิจสตรีมมิ่งอันร้อนแรงนี้
แข่งกันทำไมเมื่อไม่ได้กำไร? อย่างแรกที่ต้องคิดเลยก็คือว่าทุกอย่างเป็นสตรีมมิ่งแทบทั้งหมดแล้ว หลังจากที่มี YouTube หรือ Netflix ความสะดวกสบายและความบันเทิงก็มาอยู่บนหน้าจอ ทางเลือกที่จะนอนตีพุงอยู่บ้านเปิดหนังดูจากคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ททีวีที่บ้านดูก็มีสูงขึ้น ส่วนแพคเกจทีวีที่เราคุ้นเคยกันตั้งแต่เมื่อก่อนก็มีการยกเลิกไปแล้วซะส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่มีใครเลยที่จะได้กำไร อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้นี้
ยกตัวอย่าง ESPN+ (ซึ่งก็คือของ Disney นั้นแหละ) ที่เป็นช่องกีฬาแบบสตรีมมิ่งก็มีสมาชิกประมาณสองล้านคนภายในหนึ่งปี สร้างรายได้ให้กับบริษัทกว่าสองพันล้านเมื่อปีที่ผ่านมา แต่จากผลสำรวจของบริษัท Kagan ก็ดูเหมือนว่าช่วงพีคของพวกเขาก็จะผ่านไปแล้วเช่นเดียวกัน จำนวนคนสมัครก็เริ่มลดลง กำไรก็ยังไม่น่าจะได้ในอีกหลายปีข้างหน้า

เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่ Disney ให้ไปทุ่มให้กับ Disney+ ที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้ ภาพยนต์เรื่องยาวของพวกเขาทำเงินได้อยู่ตลอดเมื่อเข้าฉายในโรง และการที่ Disney จะสร้างเวอร์ชั่นที่ส่งตรงถึงบ้านผู้ชมเลยก็เรื่องที่หลายคนตื่นเต้น ซีรี่ย์ต่างๆจาก Lucasfilm และ Marvel ก็น่าจะดึงดูดแฟนๆได้พอสมควร มีการคาดการณ์ (ที่มองทางบวกแบบสุดๆ) จากธนาคาร JPMorgan Chase ว่าภายในปี 2022 จะลบส่วนขาดทุนได้หมดและเริ่มทำกำไรตั้งแต่ตอนนั้น โดยจะมีสมาชิกภายในประเทศประมาณ 45 ล้านคนและต่างประเทศทั่วโลก 115 ล้านคน
เมื่อคำนวณเป็นตัวเลขที่ประมาณ $8-$10/เดือน/คน เท่ากับรายได้ประมาณ 15,000 – 19,000 ล้านเหรียญต่อปี คิดเป็นสัดส่วนเทียบกับรายได้ปีที่แล้วประมาณ 25% เลยทีเดียว
ในตอนนี้บริษัทอื่นๆก็ยังดูเหมือนกล้าๆกลัวๆ อยากเข้ามาเล่นในเกมส์นี้แต่ก็มีหมากให้เดินเพียงไม่กี่ตา เพราะฉะนั้นถ้าให้เดาว่าสุดท้ายแล้วจะเหลือใครบ้าง คงเดากันไม่ยากเท่าไหร่
เพียงแต่ว่าเมื่อถึงจุดนี้ที่ผู้ชมคาดหวังคุณภาพระดับฮอลลีวู้ดในซีรี่ย์ที่ชม (อย่าง Game of Thrones) รายจ่ายในการสร้างคอนเทนท์แต่ละชิ้นของทุกบริษัทก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆด้วย เมื่อนั้นมันก็เหมือนม้าที่วิ่งตามแครอทที่ห้อยอยู่ข้างหน้า วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ถึง สุดท้ายแล้วทุกคนจะหมดแรงและหยุดกันหมดรึเปล่า?
ส่วนคำถามที่ว่าใครจะซื้อ Netflix? ตอนนี้เขายังไม่ขายหรอกครับ…อาจจะต้องรอสักพักหนึ่ง เมื่อรายรับโตไม่ทันรายจ่ายและนักลงทุนทั้งหลายสละเรือและไปหาธุรกิจที่มีโอกาสในการทำกำไรมากกว่า ตอนนั้นคำถามอาจจะเปลี่ยนไปเป็น “ใครอยากจะซื้อ Netflix บ้าง?”