5 เทคนิคสำหรับนักเขียนมือใหม่ : เมื่ออยากเขียน แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี
การเขียนเป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ ผมเชื่อแบบนั้น เพราะตอนที่ผมเริ่มเขียนแรก ๆ ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน เขียน ๆ ลบ ๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทั้งวันยังไม่ได้สักบรรทัดก็มี
ถึงตอนนี้ผมเป็นนักเขียนแบบเต็มเวลามาแล้วกว่า 5 ปี แต่ถ้านับจริง ๆ แล้วผมน่าจะเขียนมาได้สัก 8 ปีแล้วเห็นจะได้ ตอนนี้ออกหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม เล่มที่ 6 กับ 7 กำลังเตรียมตัววางแผงและเขียนคอลัมน์ให้กับสื่อต่างๆ อยู่ 7-8 สื่อต่อเดือน แปลหนังสือให้กับมติชนและ Se-ed ด้วย ตอนนี้ยังทำบล็อคของตัวเองอีก เรียกได้ครับว่าเขียนทุกวันนั่นแหละครับ
ถึงตรงนี้มันเหมือนเป็นธรรมชาติไปแล้วในการเขียนหนังสือทุกวัน แต่ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้มันก็มีช่วงรำคาญตัวเองและท้าทายอยู่เยอะมาก ๆ เช่นกัน (เหมือนกับทุกอาชีพนั่นแหละ) แต่ระหว่างทางผมก็เรียนรู้เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อมาแบ่งปันเผื่อว่าคนที่อยากเริ่มเขียนให้มีเส้นทางที่ง่ายขึ้นกว่าที่ผมเจอมา (ไม่จำเป็นต้องเป็นอาชีพก็ได้นะครับ ผมเชื่อว่าการเขียนเป็นสิ่งที่ดีเพราะมันช่วยทำให้เราได้ปล่อยความคิดในหัวให้ไหลออกมา หลายครั้งเราจะตกใจเลยหล่ะว่ามันมีไอเดียเจ๋ง ๆ ฝังอยู่ในหัวเยอะขนาดนี้เลยเหรอ)

- หาข้อมูลเท่าที่จำเป็น
ตอนเริ่มเขียนเรามักต้องหาไอเดียหรือประกายอะไรสักอย่าง ‘เขียนอะไรดีนะ?’
การหาข้อมูลหรือไอเดียงานเขียนนั้นส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไม่รู้จะเขียนอะไร? ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ บทความ หรือบันทึกอะไรสักอย่าง พอไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรก็เริ่มติดกับดักการหาข้อมูลที่ไม่รู้จบ
งานเขียน โดยเฉพาะงานเขียนที่มีการอ้างอิงข่าวสารหรืองานวิจัยต่าง ๆ การหาข้อมูลที่ชัดเจนจากแหล่งที่เชื่อถือได้นั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่การหาข้อมูลก็ไม่ควรทำ ‘มากเกินไป’ หมายถึงว่าคุณคิดในหัว ‘เดี๋ยวขอหาข้อมูลให้มากขึ้นก่อน เดี๋ยวค่อยเขียน’ พอเป็นแบบนี้ไม่ได้เริ่มสักที ส่วนใหญ่ผมจะจำกัดว่าหาข้อมูลสักชั่วโมง ไม่เกินสองชั่วโมงให้มีเนื้อหาในหัวประมาณ 60-70% แล้วก็เริ่มลงมือเลย ถ้าระหว่างเขียนยังไม่พอ ก็หาเพิ่ม ทีนี้จะหาง่ายขึ้นครับเพราะรู้แล้วว่างานกำลังไปทางไหน
- คิดถึงคนหนึ่งคน
การเขียนคุณไม่สามารถเขียนให้ทุกคนอ่านได้ แต่เราสามารถเขียนให้คนที่น่าจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เราเขียน ‘สักคน’ อ่านได้ งานที่ผมเขียนบางทีมีทั้งคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ บางทีเป็นนักศึกษา บางคนเป็นคนสูงอายุ ซึ่งแน่นอนว่าปลายทางแล้วเราไม่มีทางรู้ได้ว่าใครจะมาเป็นคนอ่านบ้าง เพราะฉะนั้นอย่าพยายามกวาดทั้งหมด ขอให้คิดถึงในหัวไว้ว่าสิ่งที่กำลังเขียนอยู่ตรงนี้จะเหมาะกับใคร
- เรื่องนี้เราเขียนให้ใครอ่าน
- ปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่คืออะไร?
- สิ่งที่จะช่วยเขาได้คืออะไร?
คิดไว้เสมอว่าเราไม่สามารถเขียนให้ทุกคนอ่านได้ แต่สามารถเขียนให้ใครสักคนอ่านแล้วได้ประโยชน์
- อธิบายย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ เพราะกลัวประเด็นไม่เคลียร์
ตอนที่ผมเริ่มเขียนใหม่ ๆ มักใช้คำเยอะ ยืดยาว เพื่อพยายามโน้มน้าวคนอ่าน
ซึ่งผลที่ได้กลับมาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะคนไม่อ่านนะ แต่มันซ้ำซ้อนและกลายเป็นเขียนวกวน ทำให้คนอ่านสับสน แถมยังเป็นการลดความน่าเชื่อถือในสิ่งที่ตัวเองเขียนด้วย
มีประโยคหนึ่งจาก Kevin Hart (นักแสดงตลกชื่อดัง) บอกว่า
“ก็เหมือนอย่างการตด ถ้าพยายามมากไป มันจะเละไม่มีชิ้นดีเลย”
เขียนให้พอเหมาะ อย่าอธิบายมากเกินไป ประเด็นไหนที่ต้องเจาะลึกเกินกว่าเป้าหมาย เขียนเอาไว้ด้านล่างเพื่อให้คนไปตามอ่านกันต่อเองได้ถ้าสนใจ
- ตัดส่วนเวิ่นเว้อ intro ที่ไม่จำเป็น
คงเคยได้ยินคำแนะนำว่าให้เขียนเหมือนอย่างที่เราพูด อยากบอกว่ามันทั้งได้ผลและไม่ได้ผล
ส่วนตัวรู้สึกว่าการพิมพ์ “นี่ผมมีเรื่องอะไรน่าสนใจจะบอกนะ” หรืออย่าง “โอ้วโหวเรื่องนี้คุณจะต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าเกิดขึ้นจริง ๆ”
ผมเคยเจอ บก. ตบหัวมาบอกว่า มึงจะอินโทรอีกกี่พารากราฟ ถ้าคนไม่อินมันก็ไม่อิน บ่อยครั้งตัดให้เข้าเนื้อให้ไวที่สุด พวกเขาไม่ได้ซื้อตั๋วมานั่งดูโชว์มายากล แต่เขาอยากอ่านสิ่งที่เราสัญญาว่าจะเขียนให้อ่าน เพราะฉะนั้นดึงความสนใจเสร็จปุ๊บเข้าเรื่องให้ไวคนจะได้อ่านต่อ อย่าเวิ่นเว้อ
- อย่ายัดเยียด
อย่างหนึ่งที่เราทุกคนน่าจะเกลียดคือการยัดเยียดให้ซื้ออะไรบางอย่าง (อย่างพวกใบปลิวที่ถูกยัดใส่มือตอนเดินห้าง)
นักอ่านคือคนที่มีความสามารถ มีความรู้ แยกแยะออกครับว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่คืออะไร เขียนด้วยความจริงใจ อย่าเสแสร้ง สร้างงานเขียนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะสนุก จะเป็นความรู้ หรือช่วยอะไรเขาสักอย่าง สร้างงานที่คนอ่านจะรู้สึกว่าได้อาหารสมองที่อร่อยและพร้อมจะเอาไปทำอะไรต่อได้
ที่จริงคำแนะนำทั้งห้าข้อนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างพื้นฐาน แต่เชื่อเถอะว่าตอนที่คุณเริ่มเขียนบางทีมันก็ตันจริง ๆ และกว่าจะออกจากหล่มนั้นมาได้ก็นาน ลองเอาไปปรับใช้กันดูครับ อาจไม่จำเป็นต้องเป็นงานเขียนก็ได้ คิดว่าในการทำงานทุกอย่างสิ่งเหล่านี้ก็น่าจะใช้ได้อย่างมีประโยชน์ไม่น้อย