สอน AI ให้ขุด Bitcoin
พื้นฐานของ Bitcoin
Cryptocurrency เป็นประเด็นที่ร้อนแรงมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ Bitcoin ที่เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก แม้ว่า Bitcoin จะเป็นเทคโนโลยีที่อายุครบทศวรรษเมื่อปี 2017 แล้วก็ตามที สิ่งที่ทำให้คนพูดถึงกันเป็นอย่างมากเพราะราคาที่พุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัวจนกลายเป็นปรากฏการณ์ฟองสบู่ Bitcoin เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมปี 2017 Bitcoin มีมูลค่าในวันนั้น $19,086/BTC หรือประมาณ 610,000 บาท/BTC แต่ในเวลานี้ผ่านมาประมาณครึ่งปี มูลค่าของมันลดลงเกินกว่าครึ่งเหลือเพียง $7400/BTC หรือประมาณ 237,000 บาท/BTC เท่านั้น (คนที่ลงทุนใน Bitcoin เองตอนนี้ก็รู้สึกหนาวๆร้อนกันถ้วนหน้า) หนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกอย่าง Sir Isaac Newton ก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกดูดเข้าไปในความบ้าคลั่งของฟองสบู่ทะเลใต้ (South Sea Bubble) และสูญเสียเงินทองไปมากมาย มีประโยคคลาสสิคที่เขาเขียนบอกไว้คือ
ซึ่งที่จริงตอนนั้นถ้าเซอร์ไอแซก นิวตันลองคิดถึงทฤษฎีผลงานชิ้นเอกของเขาเกี่ยวกับกฏของแรงโน้มถ่วงโลกว่า “อะไรที่ขึ้น มันก็ต้องลง” เขาอาจจะไม่ถลำลึกมากเท่าไหร่นัก
ถึงอย่างนั้นก็ตามทีมันก็ยังเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่มูลค่าสูงและยังเป็นที่ต้องการอยู่ไม่น้อย ยังมีคนที่พยายามลงทุนในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เพื่อการขุดบิทคอยน์โดยเฉพาะมาไว้ที่บ้านมูลค่าหลายแสนบาท ในช่วงแรกปีแรกที่ Bitcoin ถือกำเนิด นักขุดบิทคอยน์ (miner) นั้นสามารถสร้างบิทคอยน์ได้เป็นกอบเป็นกำจากคอมพิวเตอร์ที่บ้าน แต่หลังจากที่มูลค่าของบิทคอยน์เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆอย่างกลายเริ่มกลายเป็นธุรกิจไปเสียแล้ว นักขุดแบบเดี่ยวๆไม่สามารถขุดบิทคอยน์ได้อีกต่อไปเพราะกำลังของเครื่องตัวเองนั้นไม่พอสู้กับบริษัทขุดบิทคอยน์ใหญ่ได้ นักขุดแบบหัวเดียวกระเทียมลีบแบบนี้จึงรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อช่วยกันหาคำตอบ แล้วพอได้รางวัลเป็นบิทคอยน์มาก็หารกันตามปริมาณงานที่ทำ (เรียกว่า pools)
ก่อนจะไปพูดถึง Bitcoin เราต้องเข้าใจถึงเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังของมันที่เรียกว่า “Blockchain” มันเป็นรายการบัญชีที่บันทึกการแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลที่เก็บไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ทุกคน ที่ทำแบบนี้เพราะระบบต้องการตัดคนกลาง (third-party) ที่มีหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลออกไป แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของระบบทั้งหมดในมือของทุกคนแทน
เป้าหมายของ Bitcoin โดย Satoshi Nakamoto (ผู้คิดค้นที่ไม่เคยมีใครรู้ว่าเป็นใคร) คือการแลกเปลี่ยนเงินแบบไม่ต้องพึ่งพาบุคคลที่ตัวกลาง เช่นธนาคารหรือ Paypal แล้วปล่อยให้บันทึกทางบัญชี (general ledger) ถูกเก็บไว้บนคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่อยู่บนเครือข่าย พูดง่ายๆคือระบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีธนาคารเพราะทุกคนคือธนาคารนั้นเอง (ในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับ Bitcoin สามารถหาได้เพิ่มเติมออนไลน์หากสนใจนะครับ)
Bitmain และความไม่แน่นอนของกฏหมาย Bitcoin
แม้วัดด้วยพื้นฐานอันบ้าคลั่งของ Bitcoin ที่ราคาเหวี่ยงขึ้นลงและคนยังคงขวนขวายพยายามจะได้มาครอบครอง (แม้ว่าจะจับต้องไม่ได้) ในประเทศจีนที่ถือเป็นตลาดใหญ่อันดับต้นๆของโลกนั้นมันคลั่งยิ่งกว่า ด้วยความต้องการในสกุลเงินดิจิตอลที่เติบโตขึ้นจนตอนนี้มันกำลังกลายเป็นฟองสบู่ขนาดใหญ่มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ (คล้ายฟองสบู่ south sea ในอังกฤษช่วงปี 1720 และฟองสบู่ทิวลิปในดัตช์ช่วงปี 1636-1637) บริษัทสัญชาติจีนแห่งหนึ่งในปักกิ่งได้สร้างยอดขายชิป (chips) เพื่อการขุดบิทคอยน์โดยเฉพาะ อันที่จริงบิทคอยน์ที่วนเวียนในโลกออนไลน์ตอนนี้กว่า 80% ถูกขุดด้วยชิปของบริษัทแห่งนี้ Jihan Wu หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Bitmain Technologies Ltd. บอกว่า “เรารู้สึกโชคดีมาก” เพราะก่อนหน้านี้สัก 2-3 ปีบริษัทไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขนาดนี้ ข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ของเขาเปิดเผยว่าบริษัทมีรายได้มากถึง 2,500 ล้านเหรียญ (ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท) ในปีที่ผ่านมา โดยการขุดเงินดิจิตอลนั้นต้องใช้เทคโนโลยีการคำนวณทางคณิตศาสตร์ซึ่งถ้าใครที่เคยศึกษาเกี่ยวกับกับการขุดบิทคอยน์จะรู้ว่า Bitmain ชิปนั้นทำงานได้ดีและจำเป็นมากแค่ไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะสถานที่ตั้งของบริษัทเองที่อยู่ในประเทศจีน ทุกอย่างที่สร้างมาอาจจะถูกปิดและหายตัวไปในพริบตาเลยก็ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อปีก่อนรัฐบาลของจีนเริ่มเข้ามากวดขันในเรื่องการเทรดเงินสกุลดิจิตอลและยังแบน ICO (Initial Coin Offering – การระดมทุนออนไลน์เพื่อเป็นเจ้าของเงินดิจิตอลสกุลต่างๆ) และปีนี้ยังมีแนวโน้มว่าจะมีการควบคุมการขุดเงินดิจิตอลออนไลน์อย่างจริงจังอีกด้วย (ซึ่งอาจจะกลายเป็นแม่แบบของประเทศอื่นๆด้วยในภายหลัง) ยังไงก็ตามที แม้ว่ายังมีเมฆดำแห่งความไม่แน่นอนในรัฐบาลของตัวเองลอยอยู่ข้างหน้า และที่ผ่านมาความสำเร็จของพวกเขานั้นเกินกว่าที่ Wu คาดการณ์เอาไว้อย่างมาก Bitmain ยังคงต้องหาช่องทางพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองต่อไป ซึ่งตามแผนการแล้วก้าวต่อไปของพวกเขาคือพัฒนาเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
การพัฒนา AI Chip ของ Bitmain
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดของ Wu และผู้บริหารคนอื่นๆของ Bitmain พวกเขาบอกว่า AI Chips นั้นเป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้วสำหรับบริษัทที่ชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆอย่างพวกเขา แถมการขุดบิทคอยน์ก็มีความคล้ายคลึงกับการสร้าง AI ในด้านที่ต้องใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์อย่างหนักหน่วง และทำงานได้เป็นอย่างดีบนชิปที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะอย่างชิป ASIC (application-specific integrated circuit) ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Bitmain นั้นเชี่ยวชาญดีอยู่แล้ว
ลองยกตัวอย่างง่ายๆว่าถ้าบริษัทชิปใหญ่ๆอย่าง Intel หรือ Nvidia สร้างชิปตัวหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้รองรับการใช้งานที่หลากหลายอย่าง 100-200 แอพพลิเคชั่น พวกเขาสร้างระบบนิเวศที่สามารถรองรับทุกอย่าง และเมื่อชิปเหล่านี้ทำงานหนึ่งๆอาจจะใช้ประโยชน์เพียง 1% ของความสามารถของชิปตัวนั้น แต่ถ้าเป็น ASIC (เหมือนของ Bitmain) มันถูกสร้างมาเพื่องานๆเดียว แอพพลิเคชั่นเดียวและทำให้ดีที่สุด ซึ่งจะทำงานได้ดีกว่าเป็นร้อยๆเท่าและประหยัดพลังงานได้เยอะขึ้นด้วย
ด้วยความแข็งแกร่งในด้านการสร้างชิปแบบนี้ Bitmain ได้กลายมาเป็นผู้เล่นหลักของตลาดโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ในรายงานของ Bernstein Research เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาระบุว่าทางบริษัทนั้นอาจจะสร้างกำไรได้มากพอๆกับคู่แข่งอย่าง Nvidia Corp ที่ประมาณ 3 พันล้านเหรียญต่อปีเลยทีเดียว โดยรายงานนี้ยังชี้อีกว่า Bitmain น่าจะเป็นหนึ่งใน 5 บริษัทใหญ่ที่สุดที่เป็นลูกค้าของ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Apple Inc. และ Qualcomm Technologies Inc. อีกด้วย Wu ไม่ออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขผลกำไรของบริษัทและ TSMC ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เดือนตุลาคมที่ผ่านมา Bitmain เริ่มต้นขายชิปตัวใหม่ของพวกเขาชื่อว่า Sophon BM1680 เป็น ASIC ชิปที่มาใน Accelerator Card เพื่อใส่กับคอมพิวเตอร์สำหรับการเร่งกระบวนการเรียนรู้แบบ machine learning ของ AI ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปมันไม่ได้ทำงานได้ดีทุกอย่างเหมือนชิปของ Nvidia และ Advanced Micro Devices Inc. แต่มันเชี่ยวชาญในการฝึกฝน AI มากกว่าชิปตัวอื่นและราคาก็ถูกกว่ามากด้วย Wu บอกว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการทำคือการทดแทนในสิ่งที่ชิปตัวอื่นๆนั้นขาด และจากการคาดการณ์ของเขาแล้วภายใน 5 ปี AI Chips จะสร้างรายได้ให้บริษัทมากกว่า 40% เลยทีเดียว
บริษัทของพวกเขายังมีอะไรให้ทำอีกมาก AI Chip ที่ถูกตั้งชื่อด้วยโค้ดเนม Sophon (ได้ชื่อมาจากซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในหนังสือไซไฟชื่อ The Three-Body Problem) เปิดตัวหลังจากชิปของ Google เปิดตัวเพียงห้าเดือน และถึงแม้ว่า Google นั้นเป็นผู้นำในทุกอย่างเกี่ยวกับ AI แต่ชิปของพวกเขานั้นมีให้ใช้สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการ cloud ของพวกเขาเท่านั้่น ซึ่งบริการนี้ก็ถูกแบนในประเทศจีน นั้นก็ทำให้ Bitmain ยังมีแต้มต่อในบ้านเกิดอยู่พอสมควร
จุดเริ่มต้นของ Bitmain
ถ้าประวัติศาสตร์ของ Bitmain นั้นสามารถบ่งบอกอะไรได้อย่างหนึ่ง สิ่งนั้นคือบริษัทนี้ไม่น่าจะเป็นรองคู่แข่งในตลาดเพียงแค่ไม่นาน ในปี 2011 Wu ที่ยังเป็นเนิร์ดเล่นวีดีโอเกมส์ ใส่เสื้อสีขาว กางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ เข้ามาสัมผัสยังโลกของ Cryptocurrency โดยการทำงานเป็นนักวิเคราะห์การลงทุนในปักกิ่ง เขาเริ่มรู้สึกสนใจในประเด็นนี้เป็นอย่างมาก หาข้อมูลและอ่านทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขายังแปลเอกสาร white paper ที่เขียนโดย Satoshi Nakamoto ภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาจีนในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จนในที่สุดกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับ cryptocurrency
ต่อมาในปี 2013, Wu ได้นัดทานข้าวและคุยกับนักดีไซน์ชิปชื่อ Micree Zhan ที่เคยคุยไอเดียกันในการทำสตาร์ทอัพเกี่ยวกับกล่อง set-top box เมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนั้นทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้ร่วมงานด้วยกัน ต่างคนต่างแยกย้ายไปในทางของตัวเอง แต่คราวนี้หลังจากที่ทั้งคู่นั่งคุยกันนานหลายชั่วโมงเกี่ยวกับบิทคอยน์ Wu เสนอว่าพวกเขาควรเริ่มสร้างบริษัททำชิปด้วยกัน Zhan (ซึ่งตอนนั้นกิจการของบริษัทก็ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่) ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อและเช้าวันต่อมานั่งอ่านทุกอย่างเกี่ยวกับ cryptocurrency เขายกหูโทรศัพท์กดสายหา Wu และตอบตกลงร่วมงานกันในวันถัดมา ภายในปีเดียวกันนั้นพวกเขาก็เริ่มปล่อยชิปตัวแรกของพวกเขาออกสู่ท้องตลาด
Wu บอกว่าไอเดียของพวกเขาเป็นหนึ่งในสองธุรกิจเกี่ยวกับบิทคอยน์ที่น่าเป็นไปได้ ซึ่งอีกไอเดียหนึ่งนั้นคือการสร้างศูนย์การแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอล (เหมือนที่เราแลกเงินปกติในปัจจุบันตามธนาคาร) ซึ่งก็มีความเสี่ยงเรื่องกฏหมายเยอะกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้การขุดบิทคอยน์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับพวกเขาคือมันถูกกฏหมายอย่างแน่นอน
ในช่วงแรกของการขุดบิทคอยน์นั้นใครๆก็ขุดกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเนิร์ดที่นั่งในห้องมืดๆของตัวเอง นักศึกษามหาวิทยาลัย คุณครูที่สอนเด็กประถม ฯลฯ ใครก็ได้เพียงมีโปรแกรมและแลปทอปสักเครื่อง แต่หลังจากที่ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้พุ่งสูงขึ้น เหล่านักขุดทั้งหลายเหมือนถูกบังคับทางอ้อมให้อัพเกรดอุปกรณ์ของตัวเองตามไปด้วย เพื่อให้สามารถแก้ไขโจทย์ทางคณิตศาสตร์ในการขุดเหรียญบิทคอยน์เหล่านี้ได้เร็วกว่านักขุดคนอื่นๆ มันเหมือนเป็นการแข่งขันด้วยอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และเทคโนโลยีใหม่ๆที่ทดแทน CPUs ด้วยกราฟฟิคการ์ดราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ
จนมาถึงปลายปี 2013 เมื่อมูลค่าของบิทคอยน์ขยับขึ้นสูงถึง 1 พันเหรียญเป็นครั้งแรก (ซึ่งอย่างที่บอกไปด้านบนว่ามันไปพีคที่ 19,000 เหรียญเมื่อช่วงปลายปี 2017และร่วงกราวลงมาเกินกว่าครึ่งในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งปี) นักขุดทั้งหลายนั้นเริ่มหันมาทดลองใช้ ASIC Chips กันมากขึ้น และนั้นรวมไปถึงชิปของ Bitmain ด้วยเช่นกัน ชิปเหล่านี้มีอัลกอริทึม (Algorithm) ที่เขียนโดยโปรแกรมเมอร์เพื่อแก้ไขปัญหาที่เจาะจงลงไปด้วย ทำให้ทำงานเร็วขึ้นแต่ใช้พลังงานน้อยกว่า GPU ทั่วไป
อนาคตของ Bitcoin Mining with AI
ในเวลานี้ Bitmain Antminers เป็นอุปกรณ์ที่ถูกขายกันด้วยราคาตั้งแต่หลายร้อยเหรียญไปจนถึงหลายพันเหรียญ ขนาดมันพอๆกับกล่อง server ที่เราเห็นตามบริษัทต่างๆ มันทำหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือขุดบิทคอยน์ ไม่มีอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นอื่นๆเหมือน PC ตั้งโต๊ะ แต่พวกมันถูกอัดแน่นด้วยชิป ASIC จำนวนหลายสิบหลายร้อยตัว ซึ่งเจ้ากล่อง Antminers เหล่านี้จะถูกนำไปจัดเรียงไว้ในโกดังในพื้นที่ที่อัตราค่าไฟฟ้าราคาถูกเช่นตามชนบทของประเทศจีนที่มีพลังงานไฟฟ้าราคาถูกจากถ่ายหินเหลือเฟือ
ช่วงหลังๆมาบริษัท Bitmain นั้นเข้าไปข้องเกี่ยวกับประเด็นการโต้เถียงอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องบิทคอยน์ โดยเฉพาะเรื่องการผูกขาดในธุรกิจการขุดบิทคอยน์ หลายเสียงบอกว่าพวกเขานั้นร่ำรวยและหาผลประโยชน์จากความโลภของผู้คน ซึ่งถ้ามองในมุมของธุรกิจแล้วมันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผิดอะไร น้ำขึ้นต้องรีบตักเป็นเรื่องธรรมดา แต่ Bitmain เองก็พยายามที่จะลบภาพเหล่านั้นโดยการเริ่มเป็นผู้นำกระแสและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาสำหรับอนาคต Allen Tang หนึ่งผู้บริหารระดับสูงของ Bitmain บอกว่า
มีนักวิเคราะห์หลายคนที่เห็นตรงกันว่า Bitmain เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีทั้งความสามารถเรื่องเทคโนโลยี ความรู้ ทรัพยากรบุคคล และเม็ดเงิน ที่จะนำ AI และ Big data มาเปลี่ยนแปลงการคุดบิทคอยน์และสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆต่อไปได้อีกในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจากการให้สัมภาษณ์ของ Tang เป้าหมายของพวกเขาคือการสร้าง AI ที่สามารถ “solve all the puzzles in the universe” (AI ที่สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างในจักรวาล) และเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในการขุดเงินดิจิตอลออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นด้วย
ถึงตอนนี้ Bitmain ไม่ได้นิ่งนอนใจ ล่าสุดเพิ่งสร้างแหล่งขุดบิทคอยน์แห่งใหม่ในประเทศอเมริกา พยายามเติบโตและพัฒนาเทคโนโลยีชิปของพวกเขาในจีนให้เร็วที่สุด แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะการที่พวกเขาเป็นแค่บริษัทผลิตชิปเพื่อขุดบิทคอยน์ในประเทศจีนนั้นไม่ได้การันตีความมั่นคงอะไรนัก แต่ถ้าพวกเขาหันหางเสือและเติม AI เข้าไปเป็นส่วนผสมด้วยแล้วทุกอย่างน่าจะดีขึ้น เพราะเมื่อกลางปี 2017 รัฐบาลของประเทศจีนเพิ่งประกาศว่าจะทุ่มเงินเพื่อการค้นคว้าวิจัยและสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวของกับ AI เพื่อให้ประเทศจีนนั้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีภายในปี 2030 ซึ่งถ้ามีการสนับสนุนตรงนี้เข้ามาด้วยจะทำให้เมฆดำแห่งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับกฏหมายในเวลานี้กลายเป็นภาพอดีตที่ลืมเลือนไปเลย