ปัญหาไม่เคยหยุดความฝัน – Christine Ha เซฟสาวตาบอดผู้ทำให้โลกรู้ว่าเราเป็นได้มากกว่าที่คิดเสมอ
ทุกอย่างดูไม่เป็นใจเธอไปซะหมด
Christine Ha (คริสทีน) เกิดที่รัฐแคลิฟอร์เนีย พ่อกับแม่เป็นผู้อพยพมาจากเวียดนาม แต่เธอเติบโตที่เมืองฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอมีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทที่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ สายตาของเธอค่อย ๆ แย่ลงจนในที่สุดก็ไม่อาจมองเห็นได้
คริสทีนปรับตัวในการใช้ชีวิต และยังเข้าครัวทำอาหารต่อไปจนเริ่มชิน กระทั่งตัดสินใจสมัครเข้าคัดเลือกเพื่อแข่งขันในรายการมาสเตอร์เชฟ ซีซั่น 3 ปี 2012 ที่มีผู้สมัครจากทั่วสหรัฐฯ กว่า 30,000 คน
Gordon Ramsey (หนึ่งในกรรมการและเซฟที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก) รวมถึงกรรมการท่านอื่นๆในตอนแรกค่อนข้างกังขาในความสามารถของเธอเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องที่เธอมีปัญหาบกพร่องทางสายตาจะทำให้เธอแข่งขันกับคนอื่นๆได้อย่างเท่าเทียมจริงๆเหรอ
ในช่วง audition ก่อนที่จะไปแข่งขันกันจริงๆ เธอทำ “หอมหัวใหญ่” หาย เธอเอาวางไว้แล้วลืมว่าตัวเองเอาวางไว้ที่ไหน ต้องถามกรรมการว่าหอมหัวใหญ่ของเธออยู่ตรงไหนตอนที่ทำอาหาร ซึ่งเป็นจังหวะที่ทุกคนเริ่มตั้งคำถามแล้วว่า “จะรอดเหรอ?” แล้วแข่งรอบต่อไปลึกๆที่เข้มข้นกว่านี้จะเป็นยังไง จะมีโอกาสชนะได้เหรอ
แต่ด้วยรสชาติอาหารที่เธอทำก็ยังสามารถผ่านเข้ารอบมาได้เรื่อยๆ โดยทุกรอบเธอก็จะแสดงให้ทั้งกรรมการและผู้ชมเห็นเสมอว่าเธอยังคงสู้ต่อแม้ดวงตาของเธอจะไม่เห็น แต่ใจของเธอยังคงเป็นสิ่งที่นำทางให้เธอเดินไปข้างหน้าได้อย่างไม่ย่อท้อ
คู่แข่งของเธอคนหนึ่งชื่อ Ryan สามารถเลือก “วัตถุดิบ” เพื่อให้คริสทีนทำอาหารได้ ซึ่งเพื่อสร้างโอกาสในการชนะให้มากที่สุด เขาเลยเลือก “Live Crab” หรือ “ปูเป็น” ให้กับคริสทีน ซึ่งหลายต่อหลายคนก็คิดเหมือนกันว่ามันเป็น ‘dick move’ ที่แย่มากๆ แค่เธอตาบอดและต้องทำอาหารแล้ว คราวนี้ต้องมากังวลอีกว่าเจ้าปูมันจะมาหนีบเธอรึเปล่า ซึ่งระหว่างที่ทำก็มีเวลาจำกัดอยู่แล้ว เธอยิ่งต้องระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ ทั้งรีบ ทั้งกลัว ทั้งกังวล จนสุดท้ายอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นจริงๆระหว่างที่เธอแกะปูอยู่กระดองปูก็ปักมือเธอจนได้เลือดทำให้เธอต้องหยุดทำอาหารและเสียเวลามากขึ้นไปอีก
แต่ตอนสุดท้ายเมื่อกรรมการได้ชิมอาหารที่เธอทำ, Gordon Ramsey ถึงกับอึ้งแล้วถามคริสทีนเชิงหยอกๆว่า “คุณตาบอดจริงๆเหรอ ตาของผมสีอะไร?” เพราะอาหารที่เธอทำนั้นอร่อยมากจนน่าเหลือเชื่อแถมยังสวยมาก
เธอชนะการแข่งขันในรอบนั้นไปอย่างงดงาม ซึ่ง Ryan เองก็ได้ชิมอาหารที่เธอทำและบอกว่ามันอร่อยมากจริงๆด้วย
ตลอดการแข่งขันเธอไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แต่ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เมื่อสัมผัสหนึ่งหายไป สัมผัสอื่นๆอย่างการรับรส กลิ่น หรือการแตะจะถูกยกระดับขึ้นเพื่อมาแทนที่ ซึ่งนักวิจัยจาก Massachusetts Eye and Ear Infirmary มีการสรุปเอาไว้ว่า
“สมองของคนที่เกิดมาตาบอดนั้นจะสร้างการเชื่อมโยงอื่นๆเพื่อแทนที่การหายไปของการมองเห็น ออกมาในรูปของความสามารถอื่นๆที่เพิ่มขึ้นมาอย่างการได้ยิน กลิ่น หรือสัมผัส รวมไปถึงความสามารถทางสมองอื่นๆด้วยเช่นความจำหรือภาษา”
สิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเป็น “ปัญหา” คริสทีนกลับใช้ให้มันเกิด “ประโยชน์”
จากสาวชาวเวียดนามตาบอดที่หาหอมหัวใหญ่ไม่เจอ กลายเป็นแชมป์ของรายการแข่งขันเชฟที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกอย่าง Master Chef ในปีนั้น
ที่จริงแล้วเป้าหมายของคริสทีนนั้นไม่ได้ต้องการเป็นแชมป์รายการทีวีหรืออะไร สิ่งเดียวที่เธอต้องการจะทำก็คือทำ “เฝอ” ที่เป็นรสมือแม่ที่จากไปแล้วของเธอเพียงแค่นั้น การทำอาหารเป็นหนทางเดียวที่เธอจะหาทางเอาความทรงจำเกี่ยวกับแม่ของเธอคืนมา มันเป็นเป้าหมายที่ทั้งเรียบง่ายและทรงพลัง “เฝอ” เป็นเมนูเดียวที่เธอยังพยายามทำแต่ยังไม่สำเร็จและนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เธอพัฒนาตัวเองต่อไปแม้ว่าจะประสบความสำเร็จมากขนาดไหนแล้วก็ตาม
ไม่ใช่เพื่อเงิน ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง, เป้าหมายของเธอคือ “เฝอ” รสมือแม่ของเธอเพียงเท่านั้น
เรื่องราวของคริสทีนสอนบทเรียนที่สำคัญ เรามักคิดว่าเรามีปัญหามากมาย โลกและคนรอบข้างมักบอกเราเสมอว่าอันนี้เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้หรอก ซึ่งถ้าคริสทีนฟังคนรอบข้าง คนตาบอดอยากเป็นเซฟ เดี๋ยวก็ได้หกล้มมีดบาดกันพอดี อยู่ในห้องครัวอันตรายจะตาย แต่ไม่ใช่ คริสทีนทำให้โลกรู้ว่าปัญหาไม่เคยหยุดความฝันได้และเราเป็นได้มากกว่าที่เราคิดเสมอ คนที่จะหยุดเราได้ก็คือตัวเราเองเท่านั้น