SOPON’S BLOG
2 เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จด้านการเงิน
November 28, 2022
สูตรลดน้ำหนัก 4 กิโล ใน 4 สัปดาห์ : ไม่ต้องพึ่งยา แถมยังไปกินชาบูอีกต่างหาก
November 26, 2022
ฟีดแบคที่ดี ไม่ได้ดีเสมอไป : รับมือยังไงเมื่อเจอฟีดแบคหนัก ๆ ตรง ๆ และต้องปรับตัว
November 24, 2022
ปีใหม่ คนเก่า : จะเปลี่ยนตัวเองได้ ต้องรับตัวเองที่ไม่สมบูรณ์ให้ได้ก่อน
November 21, 2022
20 บทเรียนจากนักจิตบำบัดที่จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น
November 20, 2022
Facebook Twitter Youtube Instagram Medium Bootstrap
SOPON’S BLOG

Type and hit Enter to search

  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Tech
    • Business
    • Thoughts
    • Science
    • Startups
    • Lifehack
    • People
    • Travel
    • Inspiration
  • Podcast
  • About
  • Contact
  • Follow
    • Facebook
    • Twitter
    • Instagram
    • Blockdit
    • Telegram
FeaturedSelf-Improvement

เหนื่อยกับงาน ยิ่งนานยิ่งท้อใจ : เทคนิคของคุณครูที่ Quiet Quitting กว่า 2 ปีโดยไม่กระทบกับงานประจำ

sopons
August 31, 2022 One Min Read
95 Views
0 Comments

แมกกี้ เพอร์กินส์ (Maggie Perkins) วัย 30 ปีฝันมาโดยตลอดว่าชีวิตนี้เธออยากเป็นคุณครู

“ฉันอยากเป็นครูทุกวันตลอดชีวิตที่ผ่านมา และตลอดไป มันเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขมาก”

ฟังแล้วดูเหมือนแมกกี้จะเจอสิ่ง Passion หรือ “งานที่รัก” ของตัวเองมานานแล้ว เพียงแต่ว่าเจ้างานที่รักเนี้ยไม่ค่อยรักเธอตอบสักเท่าไหร่

เธอทำงานหนักมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ลองคิดง่าย ๆ ว่า อาทิตย์หนึ่งมี 168 ชั่วโมง นอนไปแล้ว 1/3 หรือ 56 ชั่วโมง เหลือ 112 ชั่วโมง ซึ่งหักเวลาที่จำเป็นอย่างกินข้าว อาบน้ำ ดูแลตัวเอง เดินทางไปทำงานอีก 42 ชั่วโมง เหลือ 70 ชั่วโมง แล้วถ้าทำงานอีก 60 ชั่วโมง เหลือเวลาว่างอีกแค่อาทิตย์ละ 10 ชั่วโมงเท่านั้น)

เหนื่อยกับงาน ยิ่งนานยิ่งท้อใจ : เทคนิคของคุณครูที่ Quiet Quitting กว่า 2 ปีโดยไม่กระทบกับงานประจำ

แน่นอนเบิร์นเอาท์ถามหาครับ แถมไม่พอเงินเดือนได้แค่ 50,000 เหรียญต่อปี หรือ ราว ๆ 1.8 ล้านบาท อาจจะฟังดูเยอะ แต่ถ้าดูค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปีของพนักงานในอเมริกาอยู่ที่ราว 70,000 เหรียญต่อปี และค่าใช้จ่ายในแต่ละวันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จะเห็นได้เลยว่าแมกกี้นั้นได้เงินไม่เยอะเลย

เธอจึงตัดสินใจ ‘Quiet Quitting’ หรือทำงานตามหน้าที่ที่มอบหมาย ทุ่มเทให้กับงานในเวลาที่ทำงาน แต่นอกเหนือจากเวลางานก็หันไปทำอย่างอื่นเพื่อปรับสมดุลให้กับชีวิตตัวเองอีกครั้ง

เธอเริ่มทำตั้งแต่ปี 2018 ก่อนที่เทรนด์ของคำว่า “Quiet Quitting” จะกลายเป็นกระแสเหมือนอย่างในตอนนี้ซะอีก

(ผมเขียนเรื่อง Quiet Quitting ไว้ตรงนี้ ลองอ่านกันเพิ่มเติมได้ครับ – CapitalRead และ Beartai)

ซึ่งก่อนหน้านี้เราเห็นเทรนด์ของ ‘Great Resignation’ หรือการลาออกครั้งใหญ่ผ่านไปหลังจากโควิดเริ่มคลายตัวและพนักงานพากันลาออกเพราะว่าไม่อยากกลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้ว แต่สำหรับหลาย ๆ คนแล้วการลาออกไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้ (หรือยังไม่ใช่เวลา)

ฉะนั้นเจ้าเทรนด์ Quiet Quitting เลยการเหมือนจุดกึ่งกลางที่เหมาะสำหรับพนักงานเหนื่อย ท้อกับงาน แต่ก็ยังไม่อยากลาออก แต่หันกลับมาสนใจชีวิตความเป็นอยู่และสร้างสมดุลให้ชีวิตตัวเองมากขึ้นนั่นเอง


แมกกี้ได้แชร์เทคนิคที่ใช้ไว้ประมาณนี้

  1. เริ่มช้า ๆ อย่าตัดทั้งหมด จัดเรียงความสำคัญว่าอันไหนที่ต้องทำเพื่อให้งานยังดำเนินต่อไปได้

หลายคนคิดว่าการ Quiet Quitting คือบอก ‘ปฏิเสธ’ ทุกอย่างที่ไม่ใช่หน้าที่ที่มอบหมายเลยทันที แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น

แมกกี้อธิบายว่าในฐานะของคุณครูหลายต่อหลายครั้งการเตรียมการสอนก็มีใช้เงินตัวเองเพื่อซื้ออุปกรณ์เข้าห้องบ้าง ปีหนึ่งรวม ๆ กันก็หลายบาท แถมยังต้องเจอผู้ปกครองจากนักเรียนโจมตี เหนื่อยขนาดไหนก็หยุดงานไม่ได้ มันเหมือนกับ ‘กบที่กำลังอยู่ในน้ำที่กำลังเดือดขึ้นเรื่อย ๆ’ สุดท้ายก็เบิร์นเอาท์และต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง

แมกกี้อธิบายว่าค่อย ๆ ลดภาระหน้าที่ของตัวเองลง ทำแบบปุ๊บปั๊บชั่วข้ามคืนไม่ได้ ไม่ต้องบอกใคร แค่ลดลงให้เหลืองานที่จำเป็นต้องทำจริง ๆ จัดสรรเวลาการทำงานให้ดี ปรับวิถีการทำงานให้มีประสิทธิภาพและจัดเรียงความสำคัญว่างานไหนต้องทำเพื่อให้หน้าที่ของตนเองนั้นสมบูรณ์แบบ ไม่มากกว่านั้น ไม่น้อยกว่านั้น

  1. การ Quiet Quitting ไม่ได้หมายความว่าเลิกใส่ใจงาน

“มันไม่ได้หมายความว่าปล่อยวาง ไม่เอาอะไรสักอย่าง แต่เป็นการลดภาระความรับผิดชอบ ไม่ต้องแสดงตัวเยอะ หรือทำงานนอกเหนือจากหน้าที่มาก”

เรายังต้องทำงานให้เสร็จ ไม่ใช่เป็นการเอาเปรียบบริษัท ลดความรับผิดชอบอันเป็นหน้าที่ของตัวเองลง คุณแค่ทำงานในสิ่งที่คุณต้องทำให้เสร็จ ถ้าเข้างาน 8 ถึง 5 โมง ก็ทำให้เต็มที่ช่วงนั้นแล้วก็ไม่ต้องเอางานกลับไปทำที่บ้านต่อ ถ้างานไหนที่นอกเหนือเวลางาน ไม่จำเป็นต้องทำ ก็ปฏิเสธไป

  1. วัฒนธรรมเชิดชูการทำงานหนักนำมาซึ่งเบิร์นเอาท์

ในฝั่งของหัวหน้างานหรือเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่มองว่าการทำงานหนักทุ่มสุดตัว ‘above and beyond’ วันหยุดก็มาทำงาน โอทีก็ไม่เกี่ยง คือคุณลักษณะที่น่าเชิดชูในตัวพนักงาน แต่มันคือจุดเริ่มต้นของเบิร์นเอาท์เลย

ผมเองก็เคยผ่านมาแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงเคยผ่านมาแล้วเช่นกัน มันเป็นการหมดไฟ ร่างกายไม่ไหว สภาพจิตใจย่ำแย่ห่อเหี่ยว คือกว่าจะกลับมาได้ถือว่าใช้เวลานานมาก

ในสถิติเขาบอกว่าช่วงปี 2021 มีพนักงานเพียง 34% (ประมาณ 1/3) ของบริษัทในอเมริกาเท่านั้นที่รู้สึกว่าตัวเองมีไฟในการทำงาน ซึ่งถือว่าต่ำมาก (เชื่อว่าบ้านเราก็คงไม่ต่างกัน)

แมกกี้บอกว่า “มันถึงเวลาที่พวกเขาจะเลิกทำงานในลักษณะแบบนี้ได้แล้ว”

ไม่ใช่เพราะเราไม่อยากทำงาน ไม่ใช่เพราะไม่มีความสามารถ แต่สภาพแวดล้อมและความกดดันจากวัฒนธรรมการทำงานหนักทำให้เรารู้สึกเหนื่อยกับงาน ยิ่งทำยิ่งท้อใจ และสุดท้ายคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีความสุขกับการทำงานอีกต่อไป

คนมักมองว่าการทำงานหนักตลอดเวลาเป็นเรื่องน่าเชิดชู แต่ผมมองว่าการทำงานหนักในเวลาที่เหมาะสมและแบ่งเวลาให้ตัวเองด้วยต่างหากคือเรื่องที่น่าเชิดชู เพราะชีวิตไม่ได้มีแต่การทำงาน

เชื่อเถอะว่าไม่มีคนใกล้ตายที่พูดว่า “รู้งี้ทำงานให้หนักกว่านี้ก็ได้”

อ่านเรื่องราวของแมกกี้เต็ม ๆ ได้ที่นี่ครับ : Business Insider

Tags:

featuredQuiet QuittingQuiet Quitting คือQuiet Quitting คืออะไรQuiet Quitting ยังไงไม่ให้โดนไล่ออกQuiet Quitting เทรนด์ชีวิตไม่ใช่การทำงานบทความพัฒนาตนเองสมดุลชีวิตเพิ่มความสุขให้กับการทำงานให้งานเหมาะกับสิ่งที่ทำ

Share Article

Follow Me Written By

sopons

Writer / Columnist (Salmon Books, 101.world, The Matter, Beartai, The People, a day Bulletin, CapitalRead, GQ, Billion Brands)

Other Articles

Previous

ประเมินตนสูง แต่ส่วนใหญ่ไม่รอด : รู้จัก Survivorship Bias อธิบายว่าทำไมคนถึงประเมินโอกาสในความสำเร็จของตัวเองสูงเกินจริง

Next

ข้อจำกัดไม่ใช่ข้ออ้างให้หยุดฝัน : เมื่อยอมรับปัญหา ถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้

Next
September 8, 2022

ข้อจำกัดไม่ใช่ข้ออ้างให้หยุดฝัน : เมื่อยอมรับปัญหา ถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้

Previews
August 29, 2022

ประเมินตนสูง แต่ส่วนใหญ่ไม่รอด : รู้จัก Survivorship Bias อธิบายว่าทำไมคนถึงประเมินโอกาสในความสำเร็จของตัวเองสูงเกินจริง

No Comment! Be the first one.

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Posts

มีเงินมากขึ้นไม่ได้นำไปสู่อิสรภาพทางการเงิน…เสมอไป

by sopons
July 26, 2022

จากร้านหนังสือออนไลน์สู่การเดินทางในอวกาศ – Jeff Bezos นำ Amazon มาถึงจุดนี้ได้ยังไง?

by sopons
October 25, 2020

ไม่เก่ง แต่ยังอวดเก่ง : รู้จัก Dunning-Kruger Effect ทฤษฎีจิตวิทยาที่อธิบายว่าทำไม ‘คนไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้’

by sopons
August 21, 2022

ถ้า Passion มันไม่พอ : ไปต่อก็ไม่ไหว ขอหยุดตรงนี้มันดู ‘ขี้แพ้’ ไปรึเปล่า

by sopons
August 11, 2022

Subscribe to our newsletter and stay updated.

SOPON’S BLOG

© 2021, All Rights Reserved.

Quick Links

  • Contact
  • About
  • Billion Brands
  • Blockdit

Category

  • Self-Improvement
  • Technology
  • Business
  • Thoughts
  • Travel

Follow Us

Facebook Twitter Youtube Instagram
  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Business
    • Technology
    • Inspiration
    • Books
    • Life Style
    • Startups
    • Thoughts
    • Travel
  • About
  • Contact