SOPON’S BLOG
“สุขมากขึ้น ร่ำรวยขึ้น และสงบมากขึ้น” : เปิดประสบการณ์ ‘No Spend Year’ ของนักข่าวฟรีแลนซ์ที่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือยกับปี 2024 ที่ตัดค่าใช้จ่ายเหลือแค่ที่จำเป็น
November 28, 2024
ด้านมืดของ ‘บริโภคนิยม’ จากสารคดี ‘Buy Now! The Shopping Conspiracy’ มนุษย์โหมบริโภค โลกจึงกลายเป็นกองขยะ
November 27, 2024
อย่าให้สังคมกำหนดว่าเรา ‘ต้องมีอะไร’ ถึงจะมีความสุข
November 27, 2024
แม้ไม่มีรายได้ แต่รายจ่ายมีทุกวัน : 5 อย่างที่ต้องเตรียมพร้อมด้านการเงิน เมื่อตลาดแรงงานไม่มั่นคง
November 27, 2024
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่วางหินวันละก้อน
November 26, 2024
Facebook Twitter Youtube Instagram Medium Bootstrap
SOPON’S BLOG

Type and hit Enter to search

  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Tech
    • Business
    • Thoughts
    • Science
    • Startups
    • Lifehack
    • People
    • Travel
    • Inspiration
  • Podcast
  • About
  • Contact
  • Follow
    • Facebook
    • Twitter
    • Instagram
    • Blockdit
    • Telegram
FeaturedSelf-Improvement

เหนื่อยกับงาน ยิ่งนานยิ่งท้อใจ : เทคนิคของคุณครูที่ Quiet Quitting กว่า 2 ปีโดยไม่กระทบกับงานประจำ

sopons
August 31, 2022 One Min Read
533 Views
0 Comments

แมกกี้ เพอร์กินส์ (Maggie Perkins) วัย 30 ปีฝันมาโดยตลอดว่าชีวิตนี้เธออยากเป็นคุณครู

“ฉันอยากเป็นครูทุกวันตลอดชีวิตที่ผ่านมา และตลอดไป มันเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขมาก”

ฟังแล้วดูเหมือนแมกกี้จะเจอสิ่ง Passion หรือ “งานที่รัก” ของตัวเองมานานแล้ว เพียงแต่ว่าเจ้างานที่รักเนี้ยไม่ค่อยรักเธอตอบสักเท่าไหร่

เธอทำงานหนักมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ลองคิดง่าย ๆ ว่า อาทิตย์หนึ่งมี 168 ชั่วโมง นอนไปแล้ว 1/3 หรือ 56 ชั่วโมง เหลือ 112 ชั่วโมง ซึ่งหักเวลาที่จำเป็นอย่างกินข้าว อาบน้ำ ดูแลตัวเอง เดินทางไปทำงานอีก 42 ชั่วโมง เหลือ 70 ชั่วโมง แล้วถ้าทำงานอีก 60 ชั่วโมง เหลือเวลาว่างอีกแค่อาทิตย์ละ 10 ชั่วโมงเท่านั้น)

เหนื่อยกับงาน ยิ่งนานยิ่งท้อใจ : เทคนิคของคุณครูที่ Quiet Quitting กว่า 2 ปีโดยไม่กระทบกับงานประจำ

แน่นอนเบิร์นเอาท์ถามหาครับ แถมไม่พอเงินเดือนได้แค่ 50,000 เหรียญต่อปี หรือ ราว ๆ 1.8 ล้านบาท อาจจะฟังดูเยอะ แต่ถ้าดูค่าเฉลี่ยรายได้ต่อปีของพนักงานในอเมริกาอยู่ที่ราว 70,000 เหรียญต่อปี และค่าใช้จ่ายในแต่ละวันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จะเห็นได้เลยว่าแมกกี้นั้นได้เงินไม่เยอะเลย

เธอจึงตัดสินใจ ‘Quiet Quitting’ หรือทำงานตามหน้าที่ที่มอบหมาย ทุ่มเทให้กับงานในเวลาที่ทำงาน แต่นอกเหนือจากเวลางานก็หันไปทำอย่างอื่นเพื่อปรับสมดุลให้กับชีวิตตัวเองอีกครั้ง

เธอเริ่มทำตั้งแต่ปี 2018 ก่อนที่เทรนด์ของคำว่า “Quiet Quitting” จะกลายเป็นกระแสเหมือนอย่างในตอนนี้ซะอีก

(ผมเขียนเรื่อง Quiet Quitting ไว้ตรงนี้ ลองอ่านกันเพิ่มเติมได้ครับ – CapitalRead และ Beartai)

ซึ่งก่อนหน้านี้เราเห็นเทรนด์ของ ‘Great Resignation’ หรือการลาออกครั้งใหญ่ผ่านไปหลังจากโควิดเริ่มคลายตัวและพนักงานพากันลาออกเพราะว่าไม่อยากกลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้ว แต่สำหรับหลาย ๆ คนแล้วการลาออกไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้ (หรือยังไม่ใช่เวลา)

ฉะนั้นเจ้าเทรนด์ Quiet Quitting เลยการเหมือนจุดกึ่งกลางที่เหมาะสำหรับพนักงานเหนื่อย ท้อกับงาน แต่ก็ยังไม่อยากลาออก แต่หันกลับมาสนใจชีวิตความเป็นอยู่และสร้างสมดุลให้ชีวิตตัวเองมากขึ้นนั่นเอง


แมกกี้ได้แชร์เทคนิคที่ใช้ไว้ประมาณนี้

  1. เริ่มช้า ๆ อย่าตัดทั้งหมด จัดเรียงความสำคัญว่าอันไหนที่ต้องทำเพื่อให้งานยังดำเนินต่อไปได้

หลายคนคิดว่าการ Quiet Quitting คือบอก ‘ปฏิเสธ’ ทุกอย่างที่ไม่ใช่หน้าที่ที่มอบหมายเลยทันที แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น

แมกกี้อธิบายว่าในฐานะของคุณครูหลายต่อหลายครั้งการเตรียมการสอนก็มีใช้เงินตัวเองเพื่อซื้ออุปกรณ์เข้าห้องบ้าง ปีหนึ่งรวม ๆ กันก็หลายบาท แถมยังต้องเจอผู้ปกครองจากนักเรียนโจมตี เหนื่อยขนาดไหนก็หยุดงานไม่ได้ มันเหมือนกับ ‘กบที่กำลังอยู่ในน้ำที่กำลังเดือดขึ้นเรื่อย ๆ’ สุดท้ายก็เบิร์นเอาท์และต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง

แมกกี้อธิบายว่าค่อย ๆ ลดภาระหน้าที่ของตัวเองลง ทำแบบปุ๊บปั๊บชั่วข้ามคืนไม่ได้ ไม่ต้องบอกใคร แค่ลดลงให้เหลืองานที่จำเป็นต้องทำจริง ๆ จัดสรรเวลาการทำงานให้ดี ปรับวิถีการทำงานให้มีประสิทธิภาพและจัดเรียงความสำคัญว่างานไหนต้องทำเพื่อให้หน้าที่ของตนเองนั้นสมบูรณ์แบบ ไม่มากกว่านั้น ไม่น้อยกว่านั้น

  1. การ Quiet Quitting ไม่ได้หมายความว่าเลิกใส่ใจงาน

“มันไม่ได้หมายความว่าปล่อยวาง ไม่เอาอะไรสักอย่าง แต่เป็นการลดภาระความรับผิดชอบ ไม่ต้องแสดงตัวเยอะ หรือทำงานนอกเหนือจากหน้าที่มาก”

เรายังต้องทำงานให้เสร็จ ไม่ใช่เป็นการเอาเปรียบบริษัท ลดความรับผิดชอบอันเป็นหน้าที่ของตัวเองลง คุณแค่ทำงานในสิ่งที่คุณต้องทำให้เสร็จ ถ้าเข้างาน 8 ถึง 5 โมง ก็ทำให้เต็มที่ช่วงนั้นแล้วก็ไม่ต้องเอางานกลับไปทำที่บ้านต่อ ถ้างานไหนที่นอกเหนือเวลางาน ไม่จำเป็นต้องทำ ก็ปฏิเสธไป

  1. วัฒนธรรมเชิดชูการทำงานหนักนำมาซึ่งเบิร์นเอาท์

ในฝั่งของหัวหน้างานหรือเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่มองว่าการทำงานหนักทุ่มสุดตัว ‘above and beyond’ วันหยุดก็มาทำงาน โอทีก็ไม่เกี่ยง คือคุณลักษณะที่น่าเชิดชูในตัวพนักงาน แต่มันคือจุดเริ่มต้นของเบิร์นเอาท์เลย

ผมเองก็เคยผ่านมาแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงเคยผ่านมาแล้วเช่นกัน มันเป็นการหมดไฟ ร่างกายไม่ไหว สภาพจิตใจย่ำแย่ห่อเหี่ยว คือกว่าจะกลับมาได้ถือว่าใช้เวลานานมาก

ในสถิติเขาบอกว่าช่วงปี 2021 มีพนักงานเพียง 34% (ประมาณ 1/3) ของบริษัทในอเมริกาเท่านั้นที่รู้สึกว่าตัวเองมีไฟในการทำงาน ซึ่งถือว่าต่ำมาก (เชื่อว่าบ้านเราก็คงไม่ต่างกัน)

แมกกี้บอกว่า “มันถึงเวลาที่พวกเขาจะเลิกทำงานในลักษณะแบบนี้ได้แล้ว”

ไม่ใช่เพราะเราไม่อยากทำงาน ไม่ใช่เพราะไม่มีความสามารถ แต่สภาพแวดล้อมและความกดดันจากวัฒนธรรมการทำงานหนักทำให้เรารู้สึกเหนื่อยกับงาน ยิ่งทำยิ่งท้อใจ และสุดท้ายคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีความสุขกับการทำงานอีกต่อไป

คนมักมองว่าการทำงานหนักตลอดเวลาเป็นเรื่องน่าเชิดชู แต่ผมมองว่าการทำงานหนักในเวลาที่เหมาะสมและแบ่งเวลาให้ตัวเองด้วยต่างหากคือเรื่องที่น่าเชิดชู เพราะชีวิตไม่ได้มีแต่การทำงาน

เชื่อเถอะว่าไม่มีคนใกล้ตายที่พูดว่า “รู้งี้ทำงานให้หนักกว่านี้ก็ได้”

อ่านเรื่องราวของแมกกี้เต็ม ๆ ได้ที่นี่ครับ : Business Insider

Tags:

featuredQuiet QuittingQuiet Quitting คือQuiet Quitting คืออะไรQuiet Quitting ยังไงไม่ให้โดนไล่ออกQuiet Quitting เทรนด์ชีวิตไม่ใช่การทำงานบทความพัฒนาตนเองสมดุลชีวิตเพิ่มความสุขให้กับการทำงานให้งานเหมาะกับสิ่งที่ทำ

Share Article

Follow Me Written By

sopons

Writer / Columnist (Salmon Books, 101.world, The Matter, Beartai, The People, a day Bulletin, CapitalRead, GQ, Billion Brands)

Other Articles

Previous

ประเมินตนสูง แต่ส่วนใหญ่ไม่รอด : รู้จัก Survivorship Bias อธิบายว่าทำไมคนถึงประเมินโอกาสในความสำเร็จของตัวเองสูงเกินจริง

Next

ข้อจำกัดไม่ใช่ข้ออ้างให้หยุดฝัน : เมื่อยอมรับปัญหา ถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้

Next
September 8, 2022

ข้อจำกัดไม่ใช่ข้ออ้างให้หยุดฝัน : เมื่อยอมรับปัญหา ถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้

Previews
August 29, 2022

ประเมินตนสูง แต่ส่วนใหญ่ไม่รอด : รู้จัก Survivorship Bias อธิบายว่าทำไมคนถึงประเมินโอกาสในความสำเร็จของตัวเองสูงเกินจริง

No Comment! Be the first one.

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Posts

ถ้า Facebook จะตายหายไปจากโลกนี้?

by sopons
October 23, 2020

จากร้านหนังสือออนไลน์สู่การเดินทางในอวกาศ – Jeff Bezos นำ Amazon มาถึงจุดนี้ได้ยังไง?

by sopons
October 25, 2020

ความแตกต่างไม่ใช่เรื่องไม่ดี : ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่แปลกคือคนที่คิดว่ามันแปลกมากกว่า

by sopons
August 5, 2022

อย่าใช้ไฟเพื่อดับไฟ : 4 ขั้นตอนโน้มน้าวใจเพื่อลดแรงปะทะจากนักเจรจาตัวประกัน

by sopons
September 21, 2022
SOPON’S BLOG

STUFF WORTH READING

© 2022, All Rights Reserved.

Quick Links

  • Contact
  • About

Category

  • Self-Improvement
  • Technology
  • Business
  • Thoughts
  • Psychology

Follow

Facebook Twitter Youtube Instagram
  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Business
    • Technology
    • Inspiration
    • Books
    • Life Style
    • Startups
    • Thoughts
    • Travel
  • About
  • Contact