คำตอบแรกที่คนมักพูดทีเล่นทีจริงก็คือ “เขามีไทม์แมชชีน” และรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง บางคนก็บอกว่าเขาเป็นหมอดูที่มีลูกแก้วทำนายอนาคต บ้างก็บอกเป็นพ่อมดที่มีเวทมนต์คาถา ฯลฯ
อาจจะจริงอย่างที่เขาบอก เพราะ 2 ทศวรรษก่อนเขามองเห็นบางอย่างที่ไม่มีใครเห็น ใครจะรู้ว่าแค่ “คลิ๊ก” เดียวก็สามารถทำให้สิ่งของทุกอย่างตั้งแต่อาหารหมายันไข่ปลาคาเวียร์ ช้อปปิ้งมอลล์จะไม่ได้เป็นสถานที่ที่คนเลือกไปช้อปปิ้งอีกต่อไป และร้านค้าทั้งหลายต้องพยายามหาอะไรมาดึงดูดลูกค้ามากกว่าแค่การขายของเพื่อเอาชีวิตรอดในตลาด
เขาเริ่มต้นวางอิฐก้อนแรกของอาณาจักร Amazon ด้วยวิสัยทัศน์นั้นในปี 1994
Amazon กำลังเจริญรอยตาม Apple ที่จะกลายเป็นบริษัทหมื่นล้านเหรียญ เพราะยอดขายในแทบทุกด้านกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และธุรกิจใหม่ด้านสุขภาพก็น่าจับตามองไม่น้อยเลยทีเดียว จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงร้านขายหนังสือออนไลน์ตอนนี้พวกเขากลายเป็น “everything store” ไปเรียบร้อยแล้ว
Bezos (ตอนนี้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก) บอกว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่เพียงแค่ปฏิวัติธุรกิจค้าขายของโลกเท่านั้น ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เขาอยากทำและกำลังลงมือทำในเวลานี้
เขาเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์หัวใหญ่อย่าง Washington Post บริษัทเดินทางท่องเที่ยวในอวกาศของเขาชื่อว่า Blue Origin วางแผนว่าจะขายตั๋วให้นักเดินทางได้หลุดแรงโน้มถ่วงของโลกไปสู่อวกาศที่เวิ้งว้างในปีหน้า และอนาคตอันใกล้เขายังประกาศอีกว่ามีแผนการเกี่ยวกับการกุศลภายในปีนี้อีกด้วย (ทำให้นึกถึง Bill and Mary gates foundation)
หลายปีก่อน แฟนเก่าของ Bezos ช่วงมัธยมปลายบอกว่ากับนิตยสาร Wired ว่าเธอคิดอยู่เสมอว่าเขาจะต้องเป็นบุคคลที่ร่ำรวย ไล่ตั้งแต่ความมุ่งมั่นของเขาที่ใฝ่ฝันอย่างเดินทางในอวกาศตั้งแต่ตอนหลายสิบปีก่อน เธอบอกว่า
พ่อแม่ของเขามีเขาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และหลังจากที่เขาเกิดได้ไม่นานก็หย่าร้างกันไป เขาเติบโตมากับแม่และพ่อเลี้ยงในรัฐ Taxas และ Florida พ่อเลี้ยงของเขาเป็นผู้บริหารของบริษัทน้ำมัน Exxon ที่หลบหนีออกจากคิวบามาตั้งรกรากอยู่ที่อเมริกาตอนเป็นหนุ่ม
Jeff Bezos แสดงออกถึงความสนใจเกี่ยวกับวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่การถอดชิ้นส่วนของเปลนอนตัวเองด้วยไขควงตั้งแต่อายุเพียงสามขวบ และตอนที่เขากล่าวสุนทรพจน์ตอนจบมัธยมปลายเขาพูดถึงแนวคิดในการออกไปสำรวจดวงดาวอื่นๆและเดินทางในอวกาศในอนาคตข้างหน้าด้วย
ที่มหาวิทยาลัย Princeton, Bezos เรียนในสายวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ หลังจากจบมาก็ทำงานให้กับบริษัทการเงินในนิวยอร์ก ที่นั้นเองที่เขาพบกับภรรยา (MacKenzie) เขาทำงานอยู่ที่นั้นจนกระทั่งอายุ 30 ตอนนั้นเขาบังเอิญไปเจอตัวเลขการเติบโตของ Internet แล้วคิดว่า “นี่ไม่ใช่การเติบโตแบบธรรมดา” ซึ่งทำให้เขาเริ่มสนใจว่านี่แหละคืออนาคตและตัดสินใจลาออกจากงานหลังจากนั้นไม่นาน
ในการพูดที่ Princeton ปี 2010 เขาบอกว่าการก่อตั้งบริษัท Amazon นั้นเป็นการเลือกเดินบนเส้นทางที่ปลอดภัยน้อยกว่า
มันเป็นการเสี่ยงที่คุ้มค่า เงินจำนวน 1 แสนเหรียญที่เขาและครอบครัวได้รวบรวมเพื่อการเริ่มต้นบริษัทได้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ภายในเดือนแรกของการเปิดตัวในปี 1995 Amazon ได้ออเดอร์จากทุกรัฐภายในประเทศและจาก 45 ประเทศรอบนอก และภายใน 5 ปี จำนวนสมาชิกกระโดดจาก 180,000 คนไปเป็น 17 ล้านคน ยอดขายจาก 5 แสนเหรียญไปเป็น 1.6 พันล้านเหรียญในเวลาเดียวกัน
นักลงทุนมากมายเริ่มหันมาให้ความสนใจบริษัทของเขา ทั้งอานิสงส์ของฟองสบู่ .com ที่ทำให้เงินลงทุนหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว Amazon เข้าสู่ตลาดหุ้นในปี 1997 นั้นทำให้ Bezos กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกก่อนอายุ 35 ปีในทันที และในปี 1999 นิตยสาร Time เรียกเขาว่าเป็นบุคคลแห่งปีที่อายุน้อยที่สุดและเป็น “king of cybercommerce”
เขาเป็นหัวหน้าที่ละเอียดถี่ถ้วนและมีแผนการดำเนินการแบบระยะยาวให้กับ Amazon ตั้งแต่เริ่มแรกโดยการโฟกัสไปที่ลูกค้าเป็นอันดับแรก นั้นหมายความว่าในช่วงแรกนั้นเขาต้องใช้เงินเพื่อสร้างเงิน โดยการลดแลกแจกแถม ทั้งการส่งฟรี ตัดราคา และทดลองสร้างสิ่งใหม่ๆอย่างอุปกรณ์อ่านหนังสืออิเลคทรอนิคอย่าง Kindle
แต่ในส่วนอื่นๆ Amazon ก็พยายามลดต้นทุนโดยการให้พนักงานที่สำนักงานใหญ่จ่ายค่าที่จอดรถ (ซึ่งก็เป็นการช่วยสิ่งแวดล้อมโดยให้พนักงานโดยสารรถประจำทางและเดินทางด้วยกันมากขึ้น) ต่อสู้กับผู้จัดจำหน่าย คอยจัดการดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายของพนักงานในโกดัง และหาทางหลีกเลี่ยงภาษีในส่วนที่ทำได้อยู่ตลอดเวลา
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่ Bezos จับจะกลายเป็นเหมืองทองไปซะหมด เช่นการลงทุนใน pets.com ที่ขาดทุนในตอนท้าย แต่นั้นก็เป็นตัวอย่างที่ดีถึงความกล้าหาญที่จะเดินออกจากจุดที่ตัวเองอยู่และทดลองอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ
จากรายงานของบริษัท Amazon จะมีรายได้มากถึง 5.3 หมื่นล้านเหรียญ (1.7 ล้านล้านบาท) ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ และทำสถิติกำไรมากที่สุดในรอบสามเดือนที่ 2.5 พันล้านเหรียญ (8 หมื่นล้านบาท) รายได้ของพวกเขาเทียบแล้วเกือบเป็นครึ่งหนึ่งของยอดขายสินค้าออนไลน์ทั้งหมดของประเทศในปีนี้ และ 5% ของตลาดซื้อขายทั้งหมดในอเมริกา มีพนักงานประมาณ 575,000 คน เทียบเท่าจำนวนประชากรในประเทศ Luxembourg ทั้งประเทศเลยทีเดียว
พวกเขาเป็นทั้งบริษัทขนส่ง ร้านขายของ แพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายสินค้าให้กับพ่อค้าแม่ค้าหลายแสนคน เป็นผู้ให้บริการด้าน cloud computing ให้กับบริษัทใหญ่ๆอีกหลายแห่ง แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เมื่อปีก่อนเพิ่งซื้อธุรกิจซุปเปอร์มาเก็ตระดับพรีเมี่ยมชื่อ Whole Foods และปีนี้ก็ขยับขยายเข้าสู่ธุรกิจยารักษาโรคอีกด้วย ทางผู้บริหารก็บอกว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่พวกเขากำลังดูๆกันอยู่
มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียดเป็นของคู่กัน การทรุดทรงและล่มสลายของร้านค้าต่างๆอย่าง Sears, Toys ‘R’ Us และ Barnes & Noble ทำให้หลายคนพูดถึงอำนาจแบบเด็ดขาดที่ Amazon มีอยู่ในเวลานี้ (monopoly) ทั้งเรื่องของภาษีและแรงงาน แม้กระทั่งโดนกล่าวหาว่าเป็นคนที่ทำให้ราคาบ้านในเมือง Seattle นั้นพุ่งสูงเกินความเป็นจริงด้วย (สำนักงานใหญ่ของ Amazon อยู่ที่เมืองนี้)
เมื่อบริษัทได้ประกาศว่าจะสร้างสำนักงานใหญ่อีกแห่งหนึ่งในอเมริกาเหนือ นักการเมืองหลายฝ่ายพยายามดึงดูดให้พวกเขามาอยู่ในเมืองของตนเอง แต่คนที่ต่อต้านก็พยายามนำเอาเรื่องภาษีและภาพลักษณ์ทางด้านลบต่างๆออกมาโจมตีบริษัทอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป็นแคมเปญเรียกว่า “anti-Amazon” กันเลยทีเดียว
Bezos บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดบนพื้นผิวโลก ตอนนี้อายุได้ 54 ปี มีคนเริ่มตั้งคำถามบ่อยขึ้นเรื่อยๆถึงการช่วยเหลือสังคมของเขาว่ามีเงินมากขนาดนี้แล้วจะช่วยเหลือโลกใบนี้ได้ยังไงบ้าง เขาทวีตเมื่อไม่นานมานี้ว่าอีกไม่นานจะมีการลงทุนอีกครั้งของเขาในงานการกุศลและเป็นสิ่งที่เขาค่อนข้างตื่นเต้นกับมันมากเลยทีเดียว มันจะเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบได้ทันทีไม่ใช่แผนการระยะยาวอย่างการลงทุนในธุรกิจทั่วไป
ถึงตอนนี้เรายังไม่รู้หรอกว่าแผนการข้างหน้าของเขาจะเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆ ดูจากสิ่งที่เขาทำมาตลอดช่วง 2 ทศวรรษ เหมือนว่าเขาจะก้าวนำทุกคนอยู่อย่างน้อย 10 ก้าวเสมอ จึงไม่แปลกใจที่เคยมีคนพูดเล่นๆว่าที่จริงแล้วเขามาจากโลกอนาคตต่างหาก