Make Your Own Ripple Effect
1.
เย็นวันหนึ่งของฤดูร้อน, ชายชราเดินออกจากบ้านมาเรื่อยๆจนมาหยุดยืนอยู่บนสะพานแขวนเหนือทะเลสาบ เขายืนเหม่อมองก้อนเมฆบนท้องฟ้าแล้วทอดหายใจทิ้งหลายต่อหลายครั้ง เขาก้มลงหยิบก้อนหินขนาดพอดีมือแล้วโน้มตัวผ่านราวสะพานและปล่อยก้อนหินในมือให้ร่วงหล่นไปในทะเลสาบ หินก้อนนั้นกระทบผิวทะเลสาบแล้วจมหายไปก่อนสร้างคลื่นกระเพื่อมเป็นวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
ตอนนั้นเองก็มีรถกระบะเคลื่อนตัวช้าๆมาบนสะพานก่อนจะจอดสนิทด้านหลังชายชราคนนั้น ด้านข้างของรถกระบะเขียนว่า “Todd’s Greenhouse Nurseries” ชายชราคนนั้นเดินเข้าไปส่องที่หน้าต่างเห็นผู้ชายอีกคนหนึ่งเอามือจับหน้าอกของตัวเอง หายใจหอบถี่ หน้าก้มติดกับพวงมาลัย ชายชราคนนั้นถามว่า “เป็นอะไรรึเปล่า?” ชายคนนั้นตอบว่า “ผมคิดว่าโรคหัวใจกำเริบ กำลังพยายามขับรถไปโรง” ชายชราคนนั้นรีบกล่าวต่อว่า “เดี๋ยวผมขับไปส่งให้ สภาพแบบนี้จะไปยังไง โรงพยาบาลอยู่ไกลเป็นสิบโลเลย” ชายที่พวงมาลัยพึมพำ “ขอบคุณมากครับ ผมชื่อ Jack Todd เป็นพ่อม่าย พอดีที่สวนผตอนนี้คนงานกลับบ้านกันหมดแล้ว เลยต้องขับรถมาเอง ขอบคุณจริงๆครับ” ชายชราคนนั้นพยักหน้ารับแล้วรีบขับรถพา
โชคดีที่ Jack ไปถึงมือคุณหมอทันเวลา ถ้ามาช้ากว่านี้ไม่กี่นาทีคงไม่รอด ชายชราคนนั้นนั่งรอที่ห้องพักของโรงพยาบาลทั้งคืนเพื่อให้ชัวร์ว่ามีญาติหรือคนรู้จักของ Jack มาดูแลเขาต่อ เพราะเขาเข้าใจดีว่าการอยู่คนเดียวโดยไม่มีเพื่อนหรือครอบครัวเคียงข้างมันเปล่าเปลี่ยวขนาดไหน เขาเองก็เป็นพ่อม่ายและอาศัยอยู่ด้วยตัวเองตั้งแต่ภรรยาเขาเสียชีวิตไปเมื่อหลายเดือนก่อน
อาทิตย์หนึ่งผ่านไป อาการของ Jack ดีขึ้นเรื่อยๆและพนักงานหลายคนมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ชายชราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อ Jack เห็นชายชราคนนั้นก็กวักมือเรียกให้เขาเข้ามาใกล้ๆที่เตียงพร้อมเอื้อมมือมาจับมือของเขาแล้วพูดว่า “ชายคนนี้ได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้ แม้ว่าเราจะไม่เคยรู้จักกันเลย ผมอยากบอกให้คุณรู้ว่า สิ่งที่คุณทำนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมไปกระทบกับชีวิตของเราทุกคนในห้องนี้ การช่วยชีวิตผม คุณได้ช่วยธุรกิจของผมไม่ให้ล้ม และการที่ธุรกิจของผมยังอยู่รอด คุณก็ได้ช่วยอีกสามสิบกว่าครอบครัวที่ต้องทำงานที่นี่ พวกเราทุกคนเป็นหนี้คุณอย่างมหาศาล”
ทุกสายตาจ้องมองมาที่ชายชราคนนั้น เขาน้ำตารื้นเอ่อ มีรอยยิ้มเล็กๆปรากฎขึ้นมา เขานั่งลงข้างๆเตียงของ Jack แล้วพูดเบาๆว่า “ผมมีเรื่องอยากบอกคุณเช่นกัน คุณต่างหากที่ช่วยชีวิตผม ก่อนที่รถคุณมาจอด ผมตัดสินใจว่าจะกระโดดลงจากสะพานนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้อย่างที่คุณบอก ชีวิตของเราทุกคนมีความหมายเสมอ ไม่ใชแค่สำหรับตัวเราเท่านั้นแต่สำหรับคนรอบๆด้วย มันเป็นเหมือนแรงกระเพื่อมจริงๆนั้นแหละ”
2.
เกือบสามปีแล้วที่ผมได้ทำธุรกิจบริการเมสเซนเจอร์ในเชียงใหม่ชื่อ Busy Rabbit มันเติบโตขึ้นมาทีละเล็กละน้อย จากที่มีพนักงานสองสามคน ตอนนี้มีสิบกว่าชีวิตที่บริษัทแห่งนี้เป็นแหล่งงานและสร้างรายได้ให้กับอีกหลายสิบชีวิตในครอบครัวของพนักงานทุกคน
ช่วงที่ผ่านมานั้นเชื่อได้ว่าทุกภาคส่วนนั้นได้รับผลกระทบจากไวรัส Covid-19 ไม่มากก็น้อยทั้งทางตรงและทางอ้อม มันเป็นแรงกระเพื่อมที่กระทบกับทุกสิ่งทุกอย่างเลยทีเดียว ซึ่งบริษัทของผมเองก็ไม่ต่างกัน ในเมื่องานของเราเกินกว่าครึ่งมาจากลูกค้ากลุ่มที่เป็นบริษัทห้างร้านซึ่งเป็นลูกค้าประจำและเติบโตแบบปากต่อปาก ลูกค้าปลีกก็มีบ้างประปรายแต่เป็นกลุ่มที่คาดหวังเรื่องรายได้ยากเพราะมาเร็วไปเร็ว เพราะฉะนั้นการปิดเมืองไม่ให้ธุรกิจทำกิจการต่างๆและการหายไปของนักท่องเที่ยวในเชียงใหม่นั้นจึงกระทบค่อนข้างเยอะในช่วงประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา รายได้หายไปมากกว่าครึ่งจากที่เคยได้ในทุกๆวัน
โชคยังดีที่มีกลุ่มลูกค้าปลีกที่มาใช้บริการบ้างเป็นครั้งคราว ทำให้การยังพอมีเงินมาจุนเจือบริษัทและพนักงานที่ยังอยู่ ผมตัดสินใจตัดเงินเดือนตัวเองออกทั้งหมดทันทีเพื่อการันตีว่าพนักงานของบริษัทจะได้รับเงินเดือนครบกันทุกคนและยังไม่มีมาตรการปลดพนักงานออกแต่อย่างใด ผมมักจะบอกน้องๆในทีมเป็นประจำว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทุกวันพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ สร้างไอเดียใหม่ๆ หาช่องทางโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ ไปเชื่อมต่อกับธุรกิจอื่นๆในพื้นที่ หรือแม้แต่ไปหาอาหารหรือขนมมาขายบนเพจบริษัทเพื่อเป็นรายได้เสริมให้กับน้องๆพนักงานด้วย, คือทำทุกอย่างจริงๆให้บริษัทอยู่รอด ให้น้องๆทุกคนอยู่รอด
3.
เมื่อเช้ามีน้องในทีมคนหนึ่งทักมาถาม
“ช่วงนี้งานไม่แน่นเหมือนเมื่อก่อน ลูกพี่จะขาดทุนไหมครับ?”
ในห้วงจังหวะนั้นมีความคิดอยู่สองอย่างคือไม่แน่ใจว่าน้องมีปัญหาอะไรอยู่รึเปล่าและสองคือผมจะช่วยน้องได้ยังไงบ้าง ผมพิมพ์ตอบกลับไปว่า
“แน่นอนครับ แต่ก็ควักเนื้อตัวเองจ่ายไป หาอะไรใหม่ๆทำ ขายนู้นนี้ จนรอแพลตฟอร์มเสร็จแล้วก็ให้ร้านค้าใช้เยอะขึ้นเพื่อเลี้ยงพนักงาน”
น้องบอกว่า “หักส่วนแบ่งของผมน้อยลงก็ได้นะครับ”
ผมตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรครับ น้องต้องอยู่ได้ พี่ถึงจะอยู่ได้ ถ้าน้องอยู่ไม่ได้ พี่ไม่มีน้อง พี่ก็อยู่ไม่ได้”
หัวที่ไม่มีแขนขา, ก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก
4.
บริษัทเล็กๆแห่งนี้คอยช่วยเป็นธุระให้กับลูกค้า ทำนู้นทำนี่ เดินเรื่องเอกสาร ซื้อของเข้าออฟฟิศ ซื้ออาหาร งานเซอร์ไพรส์วันเกิด วางเช็ค จ่ายบิลและต่างๆมากมาย มันทำให้คนที่มาใช้บริการนั้นมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้นในชีวิตประจำวัน อย่างที่บอกว่าก่อนหน้านี้ก็เติบโตมาได้เป็นอย่างดี
การมาสะดุดเพราะธุรกิจทุกอย่างชะงักหมดในช่วง Covid-19 ก็เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับพวกบริษัทของเรา อย่างแรกเลยคือมันสอนให้รู้ว่าต่อจากนี้เราต้องกระจายและขยายกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากยิ่งขึ้นเผื่อความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างที่ไม่คาดคิด อย่างที่สองคือในช่วงเวลาที่ลำบากแบบนี้เราจะได้เห็นความงดงามของจิตใจเพื่อนมนุษย์และคนในทีมว่าจะช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไปด้วยกันไหม
สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อก็คือว่าเรากำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้แก่กันในทีม เป็นการเสริมความมั่นใจว่าทุกคนจะช่วยกันแม้ว่าในช่วงเวลาที่ลำบาก มันเกิดจากแรงกระเพื่อมเล็กๆที่ทุกๆคนช่วยกันลงมือทำ ผมทำตรงนี้ น้องทำตรงนั้น คนละไม้คนละมือซึ่งจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้เราขยับไปข้างหน้าได้
อย่างหนึ่งที่ผมคาดก็คือว่าหลังจากนี้เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ทุกอย่างเริ่มกลับมาเดินอีกครั้ง ธุรกิจต่างๆกลับมาให้บริการอีกรอบ บริการของเมสเซนเจอร์จะยิ่งเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้นเพราะผู้คนจะเริ่มคุ้นชินกับการใช้บริการแบบนี้และเริ่มกลับมามีรายได้กันอีกครั้งหนึ่ง การจับจ่ายใช้สอยก็จะมีมากขึ้นตามมากด้วย
สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้คือการพยายามปรับตัวและพัฒนาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ทั้งในด้านของงานบริการเองและด้านของเทคโนโลยีให้รองรับความต้องการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ประสบการณ์ทำธุรกิจด้วยตัวเองมาตลอดเกือบสามปีนั้นเป็นอะไรที่หาค่ามิได้ มันยิ่งตอกย้ำความเชื่อของผมที่ว่าเราทุกคนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จากการลงมือทำอย่างสร้างสรรค์และตอบสนองต่อโจทย์ต่างๆในชีวิตด้วยมุมมองที่เปิดกว้าง คอยหาทางออก ลองทำอะไรใหม่ๆ กลายเป็นแรงกระเพื่อมเล็กๆที่สร้างผลกระทบต่อคนรอบๆข้างและสังคมที่เราอยู่ เหมือนอย่างที่ชายชราคนนั้นบอกว่าทุกชีวิตมีความหมายเสมอ แม้ว่าเรายังไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นจะส่งผลไปถึงใครบ้าง มันเป็นเหมือนแรงกระเพื่อมจริงๆนั้นแหละ
นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจเริ่มเขียน UnBusyness อยากสร้างงานเขียนที่เติมพลังบวก กระตุ้นความคิด เสนอแนวทางใหม่ๆในการแก้ปัญหา สร้างแรงบันดาลใจ การใช้ชีวิตและการทำงาน อยากทำให้คอลัมน์นี้มีประโยชน์กับผู้อ่านให้ blog นี้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
มาสร้างแรงกระเพื่อมของเรากันเถอะครับ