SOPON’S BLOG
“สุขมากขึ้น ร่ำรวยขึ้น และสงบมากขึ้น” : เปิดประสบการณ์ ‘No Spend Year’ ของนักข่าวฟรีแลนซ์ที่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือยกับปี 2024 ที่ตัดค่าใช้จ่ายเหลือแค่ที่จำเป็น
November 28, 2024
ด้านมืดของ ‘บริโภคนิยม’ จากสารคดี ‘Buy Now! The Shopping Conspiracy’ มนุษย์โหมบริโภค โลกจึงกลายเป็นกองขยะ
November 27, 2024
อย่าให้สังคมกำหนดว่าเรา ‘ต้องมีอะไร’ ถึงจะมีความสุข
November 27, 2024
แม้ไม่มีรายได้ แต่รายจ่ายมีทุกวัน : 5 อย่างที่ต้องเตรียมพร้อมด้านการเงิน เมื่อตลาดแรงงานไม่มั่นคง
November 27, 2024
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่วางหินวันละก้อน
November 26, 2024
Facebook Twitter Youtube Instagram Medium Bootstrap
SOPON’S BLOG

Type and hit Enter to search

  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Tech
    • Business
    • Thoughts
    • Science
    • Startups
    • Lifehack
    • People
    • Travel
    • Inspiration
  • Podcast
  • About
  • Contact
  • Follow
    • Facebook
    • Twitter
    • Instagram
    • Blockdit
    • Telegram
InspirationThoughts

ถ้าเป็นไปได้นี่คือบทเรียนที่อยากกลับไปสอนตัวเองเมื่อสิบปีก่อน

sopons
November 16, 2020 One Min Read
509 Views
0 Comments

เมื่อวานช่วงถามตอบคำถามเป็นช่วงที่สนุกดี น้องๆหลายคนที่กำลังอยู่ในวัยยี่สิบกว่าๆ ดวงตาดูมีไฟที่คุกรุ่นพร้อมอยากจะออกไปลุยสนามจริงกันอย่างมาก เห็นแล้วก็อดนึกถึงตัวเองในช่วงวัยนั้นไม่ได้ที่กำลังวิ่งตามหาสิ่งที่เรียกว่า ‘ความฝัน’ ซึ่งในเวลานั้นไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่มีภาพในหัวที่เลือนลางประมาณว่าอยากทำงานที่ท้าทาย มีความหมายกับคนรอบข้าง และทุกเช้าที่ตื่นมาก็จะพร้อมลุยกับมันอยู่เสมอ

มันเป็นความฝันที่เลือนลางจนเลื่อนลอย, ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปหามาจากไหนไอ้งานหรือสิ่งที่อยู่ในหัวนั้น

ผ่านมาถึงตอนนี้เมื่ออายุ 38 ขวบปีก็มองย้อนกลับไปก็ได้แต่อมยิ้ม เพราะถ้าให้บอกว่าตอนนี้ได้ทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วไหม? ก็คงใช่ในระดับหนึ่ง แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกวันก็ยังคงเป็นความท้าทาย งานก็ยังคงสนุก มีเรื่องให้ต้องทำอยู่ทุกๆวัน ซึ่งที่ผ่านมาตลอดสิบกว่าปีที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงานอย่างจริงจังนั้นเส้นทางชีวิตก็ไม่เคยเกิดขึ้นตามที่คิดเอาไว้เลย (ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นยังไงนะ แต่ตัวผมเองนี้เส้นชีวิตอย่างยุ่งเหยิงเลย) แต่ในความ ‘คาดเดาไม่ได้’ นั้นเองก็เป็นเสน่ห์ของชีวิต

มีทั้งสุขสุดๆ ทุกข์จนนอนไม่หลับ, ซึ่งผมก็เชื่อว่าผมไม่ใช่คนเดียวที่มีประสบการณ์แบบเดียวกันนี้ ช่วงเวลาที่ยากลำบากเป็นบทเรียนที่ติดตัวเราไปและทำให้เราแกร่งขึ้นได้อีกระดับ เรียกว่าที่ผ่านมาก็เก็บเวลอย่างหนักละกัน

ซึ่งพอเห็นแววตาของน้องๆที่มานั่งฟังเมื่อวานก็ย้อนกลับไปคิดถึงตัวเองอีกนั้นแหละว่า “โสภณ มึงเจ็บมาเยอะเหมือนกันเนอะ” แล้วก็ได้แต่แอบขำในใจ

ระหว่างที่ขับรถกลับบ้านก็ย้อนคิดถึงหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แล้วก็ถามเล่นๆว่า “ถ้ามีโอกาสได้บอกบางอย่างกับตัวเองตอนอายุ 20 กว่าจะบอกอะไร?” นั้นสิ…

อย่างแรกเลยที่จะบอกก็คงบอกว่า “โลกกับตำราเรียนมันคนละเรื่องกัน” ไม่ว่าจะอ่านหนังสือหรือบทความว่าด้วยเรื่องของการทำงานหรือธุรกิจมากมายขนาดไหน โลกแห่งความจริงนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนอย่างในตำราเรียนเลย ทุกอย่างที่อ่านมานั้นไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์การทำธุรกิจของบุคคลที่มีชื่อเสียงเขียนเล่าเป็นขั้นเป็นตอนยังไง เมื่อเราเอามาปรับใช้จริงๆ หลายต่อหลายครั้งมันใช้ไม่ได้เลย แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่อ่านมามันไร้ประโยชน์นะครับ เพียงแต่สิ่งที่เรียนรู้ระหว่างทางก็คือว่าแต่ละคนนั้นมีปัญหา สภาพแวดล้อม และองค์ประกอบแตกต่างกันออกไป พูดอีกอย่างหนึ่งคือเราอ่านหนังสือหรือดูคนอื่นเป็นแบบอย่างได้ แต่อย่าไปยึดติดว่ามันต้องออกมาเหมือนกัน เพราะเชื่อผมเถอะว่า…มันแทบไม่เป็นแบบนั้นเลย แต่นี่คือเรื่องที่ดีเพราะว่าเมื่อเราผ่านมันมาได้ เราจะเติบโตเป็นต้นไม้ในรูปแบบของเราเอง

“อย่าไปคิดว่ารู้หมดแล้ว” นี่คือบทเรียนอีกอันที่อยากบอกตัวเองในวัยไฟแรงตอนนั้น คือทุกครั้งที่เราคิดแบบนี้นะ จบเลย…ปัญหามาทันที มีหลายครั้งที่เคยเข้าใกล้จุด ‘ชีวิตแม่งดีจัง’ ยิ้มลั้นลา ผีเสื้อเต็มท้องทุ่งหญ้า แต่วันถัดมาชีวิตแม่งเหี้ย…ทุกอย่างที่พลาดได้ พลาดหมด ทั้งๆที่เมื่อวานยังดีๆอยู่เลย เอาตัวอย่างงานของ Busy Rabbit Platform ก็ได้ง่ายๆ ระหว่างที่กำลังไปได้สวย ลูกค้ากำลังเริ่มเยอะ มีร้านค้ามารอเปิดร้านหลายสิบหลายร้อยล้าน น้องที่ทำงานมาตั้งแต่วันแรกของการเปิดแพลตฟอร์ม มีความเชื่ยวชาญในการทำงาน ลูกค้าก็ชื่นชอบ รับผิดชอบงานดีมาโดยตลอด แทบไม่ต้องตามอะไรเลย ทำเองได้เกือบทุกอย่าง ทุกเช้าผมตื่นมาอย่างสดชื่นไร้กังวล “ชีวิตแม่งดี” แล้วเย็นวันนั้นน้องก็ไลน์มาบอกว่า “วันนี้ทำงานเป็นวันสุดท้าย” แล้วก็ขอลาออกเพราะมีธุระทางบ้าน…ครับ…ชีวิตบางทีก็บ้าบอแบบนี้แหละ

เรื่องต่อมาที่อยากบอกตัวเองในวัยยี่สิบกว่าคือ “ทุกคนมีทางของตัวเอง” ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนนะที่จริงแล้ว โดยเฉพาะเมื่อทำงานในบริษัท ที่พูดนี่หมายถึงว่าบางทีความชอบ บุคลิก ลักษณะ นิสัยของเราเป็นอย่างหนึ่ง ซึ่งวัฒนธรรมหรือคนที่เราทำงานด้วยอาจจะไม่ใช่แบบนั้น แต่เราพยายามจะ ‘fit in’ ทำตัวเหมือนคนอื่น พยายามจะก้าวตาม แต่บางทีก็รู้สึกฝืนจนเกินไปจนไม่มีความสุข เชื่อผมครับ…ไม่ต้องทำ เอาจริงๆนะ การทำงานหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าไปทำตามคนอื่นเพียงเพราะว่า ‘มันเป็นสิ่งที่คนอื่นทำ’ อย่างเขาไปสังสรรค์เฮฮาดื่มเหล้ากลางคืน แต่เราไม่ชอบ…ก็อย่าไปทำ ทุกคนสุดท้ายก็จะเติบโตไปตามทางของตัวเอง แค่นั้นแหละ

“มึงทำให้ทุกคนมีความสุขไม่ได้ครับโสภณ” อันนี้สำคัญบอกเลย อย่าไปคิดว่ามึงเป็นพระเจ้า (คือขนาดพระเจ้ายังตามใจทุกคนไม่ได้เลยจริงมะ ไม่งั้นคนคงถูกหวยกันทุกคน) ความจริงก็คือว่าตราบใดที่เรายังยึดติดว่าเราต้องทำให้ทุกคนมีความสุขมันจะทำให้เราทุกข์มากๆ ยกตัวอย่างตอนเริ่มทำงานเขียนแบบจริงๆจังๆ ผมพยายามมากเลยนะที่จะเขียนออกมาให้แบบทุกคนรัก แต่กลายเป็นว่าเขียนออกมาแล้วมันไม่ได้เป็นตัวเอง สุดท้ายก็ต้องกลับมาเขียนในรูปแบบของตัวเอง บางทีก็เจอคอมเมนท์แย่ๆบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าปวดใจ แต่ก็เริ่มเข้าใจแหละว่างานของเรามันไม่ได้เหมาะกับทุกคน ใช้เวลาหลายปีนะกว่าจะยอมรับจุดนี้ได้ แต่พอรู้ว่า “มึงทำให้ทุกคนรักไม่ได้หรอก พยายามทำให้ดีที่สุดแค่นั้นพอ” มันจะเจ็บน้อยลง และในจังหวะนั้นคุณจะทำหลายๆอย่างในชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

สุดท้ายนะมึง “ฟังให้เยอะกว่าพูด” นี่คือสิ่งที่จะทำให้โตได้เร็วมาก อย่าไปแสล๋นอวดรู้ในจังหวะที่ผิดๆ มึงจะกลายเป็นมนุษย์ง่าวทันที อย่าไปกลัวว่าการไม่แสดงความคิดเห็นแล้วคนอื่นจะมองว่าไม่ฉลาด การพูดเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ต่างหากที่จะปล่อยไก่ให้โลกรู้ว่ามึงงี่เง่าขนาดไหน นั้นไม่ได้หมายความว่าไม่รู้แล้วไม่ถามนะ มันคนละเรื่อง ไม่รู้ให้ถาม ถามเลยถามเยอะๆ ยิ่งเป็นเรื่องที่สนใจจากคนที่มีประสบการณ์ จากคนที่เก่งกว่า ดูดมาเยอะๆ ฟังเพื่อน ฟังคนที่เราทำงานด้วย ฟังคนในครอบครัว ฟังลูก ฟังเมีย (อันนี้สำคัญสุด) เงียบแล้วฟังคนอื่นๆให้เยอะขึ้น


ช่วงวัยยี่สิบกว่าเป็นช่วงวัยที่สำคัญ มันเป็นเวลาที่ร่างกายมีเรี่ยวแรง มีความฝันอันแรงกล้าที่จะออกไปทำอะไรสักอย่างให้กับชีวิตตัวเอง และขณะเดียวกันมันก็เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากด้วย คือ…ชีวิตไม่มีช่วงไหนง่ายอะเนอะ ก็ลำบากหมดแหละ เพียงแตยี่สิบกว่าๆนี่มันว้าวุ่น ส่วนใหญ่เพิ่งเรียนจบ เพิ่งเริ่มงานที่แรก บางคนมีความรัก ฯลฯ เลยปวดหัวหนักหน่อย ผมเองพลาดมาเยอะ เยอะจนมืองอกออกมาเป็นทศกัณฐ์ก็นิ้วไม่พอนับ แต่สุดท้ายมันก็จะผ่านมาได้ เราก็จะเติบโตเมื่อไม่ยอมแพ้

เรียนรู้จากการล้ม เป็นตัวเองที่ดีกว่าเมื่อวาน, ทำได้แค่นี้…มึงก็เก่งมากแล้ว

Tags:

lessonspositiveความสุขความสุขในการทำงานชีวิตทำงานบทเรียนประสบการณ์วัยยี่สิบหลังเรียนจบ

Share Article

Follow Me Written By

sopons

Writer / Columnist (Salmon Books, 101.world, The Matter, Beartai, The People, a day Bulletin, CapitalRead, GQ, Billion Brands)

Other Articles

Previous

อย่าปล่อยให้เสียงในหัวทำร้ายตัวเอง

Next

สอน AI ให้ขุด Bitcoin

Next
November 20, 2020

สอน AI ให้ขุด Bitcoin

Previews
November 15, 2020

อย่าปล่อยให้เสียงในหัวทำร้ายตัวเอง

No Comment! Be the first one.

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Related Posts

ทำไมยังไม่มีความสุข? ปรากฏการณ์ Mimetic ที่เราลอกเลียนแบบความต้องการของคนอื่น

by sopons
November 2, 2020

แค่ “ใจ” มันไม่พอ : เมื่องานที่รักไม่เพียงพอกับค่าน้ำค่าไฟ

by sopons
May 7, 2021

จงขอบคุณเสมอ

by sopons
December 17, 2020

การแข่งขันที่คุณจะชนะเสมอ คือการแข่งขันที่ชัยชนะขึ้นอยู่กับคุณเอง

by sopons
August 20, 2022
SOPON’S BLOG

STUFF WORTH READING

© 2022, All Rights Reserved.

Quick Links

  • Contact
  • About

Category

  • Self-Improvement
  • Technology
  • Business
  • Thoughts
  • Psychology

Follow

Facebook Twitter Youtube Instagram
  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Business
    • Technology
    • Inspiration
    • Books
    • Life Style
    • Startups
    • Thoughts
    • Travel
  • About
  • Contact