SOPON’S BLOG
“สุขมากขึ้น ร่ำรวยขึ้น และสงบมากขึ้น” : เปิดประสบการณ์ ‘No Spend Year’ ของนักข่าวฟรีแลนซ์ที่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือยกับปี 2024 ที่ตัดค่าใช้จ่ายเหลือแค่ที่จำเป็น
November 28, 2024
ด้านมืดของ ‘บริโภคนิยม’ จากสารคดี ‘Buy Now! The Shopping Conspiracy’ มนุษย์โหมบริโภค โลกจึงกลายเป็นกองขยะ
November 27, 2024
อย่าให้สังคมกำหนดว่าเรา ‘ต้องมีอะไร’ ถึงจะมีความสุข
November 27, 2024
แม้ไม่มีรายได้ แต่รายจ่ายมีทุกวัน : 5 อย่างที่ต้องเตรียมพร้อมด้านการเงิน เมื่อตลาดแรงงานไม่มั่นคง
November 27, 2024
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่วางหินวันละก้อน
November 26, 2024
Facebook Twitter Youtube Instagram Medium Bootstrap
SOPON’S BLOG

Type and hit Enter to search

  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Tech
    • Business
    • Thoughts
    • Science
    • Startups
    • Lifehack
    • People
    • Travel
    • Inspiration
  • Podcast
  • About
  • Contact
  • Follow
    • Facebook
    • Twitter
    • Instagram
    • Blockdit
    • Telegram
Inspiration

แค่ “ใจ” มันไม่พอ : เมื่องานที่รักไม่เพียงพอกับค่าน้ำค่าไฟ

sopons
May 7, 2021 One Min Read
358 Views
0 Comments

วันก่อนมีโอกาสได้คุยกับน้องคนหนึ่งสมัยเรียนอยู่มัธยมปลาย ตอนนี้น้องทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง แม้จะเป็นงานที่ไม่ได้หวือหวาอะไร แต่ก็ถือว่าค่อนข้างมั่นคงอยู่ในระดับหนึ่ง ระหว่างที่คุยกันน้องก็ถามขึ้นมาว่าต่ายคิดยังไงกับคำพูดที่ว่า

“ถ้าเราได้ทำงานที่รัก เราจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกต่อไป”

โอ้วโหว….นี่เป็นประโยคทองที่ทำให้คนลาออกมานักต่อนักแล้ว ไอ้เจ้าสิ่งที่เรียกว่า “passion” หรือ “ความหลงใหล” มันทำให้คนออกวิ่งตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ ตามหาสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะคิดว่าวันหนึ่งถ้าเราเจอ เราตื่นขึ้นมาทำในสิ่งที่รัก จะได้ทั้งเงิน ได้รายได้จุนเจือชีวิตครอบครัว และถ้าทำด้วย “ใจ” จริงๆ มันจะไม่รู้สึกเหนื่อย ลำบากกาย แต่ไม่ลำบากใจ จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นงานอีกต่อไป…เอ่อ…เดี๋ยวนะ ขอเบรคไว้ตรงนี้หน่อยหนึ่ง

ต่ายบอกน้องไปว่า “ครับน้อง การได้ทำสิ่งที่รักเป็นเรื่องดีนะ แต่น้องจะเอาแค่ใจน้องไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟไม่ได้นี่สิ มันคือปัญหาที่ต้องคิดนิดหนึ่งนะ”

จะบอกแบบนี้ครับ ต่ายไม่ได้ต่อต้านหรือบอกให้น้องทิ้งความฝันและ “ทนตายซาก” กับงานที่ตัวเองทำอยู่ในตอนนี้ แต่อยากให้ลองมองมันในมุมที่เป็นทั้งข้อดีข้อเสียของมันให้ครบถ้วน ไม่ได้หมายความว่าการเจองานที่รักจะเป็นเรื่องไม่ดี แต่ถึงแม้ได้ทำงานที่รัก วันหนึ่งมันก็จะมีอะไรที่ทำให้เราเหนื่อยล้าและมีด้านลบโผล่ขึ้นมาให้เราเจออยู่ดี

การเจองานที่รักไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย ไม่ใช่ว่าเจอแล้วจะมีความสุขไปตลอด

มีช่วงดีๆ มันก็มีช่วงแย่ๆ สองอย่างนี้มันมาคู่กันและแยกออกจากกันไม่ได้ บางทีเรามัวแต่มองด้านดีๆของมันจนคิดว่าถ้าได้ทำมันไปตลอดก็คงมีความสุขมากๆอย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าจะมองว่าการทำสิ่งที่ตัวเองรักเป็นงานหรือไม่ ถ้าเราต้องใช้มันเพื่อเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ หาเลี้ยงชีพ จะเรียกมันยังไงก็ตาม มันก็คืองาน และการมองว่ามันเป็นงานก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะเมื่อเรามองว่ามันเป็นงาน เราก็จะจริงจังกับมัน ใส่ใจกับมัน ไม่ใช่ทำเพียงเพราะความสนุก ฉันมีความสุขฉันทำ วันนี้ฉันไม่มีความสุขก็หยุด

ต่ายเล่าให้น้องฟังว่า งานหลักของต่ายมีสองอย่างคือหนึ่งดูแลบริษัท Busy Rabbit ให้สามารถให้บริการแก่ลูกค้าที่เข้ามาให้ดีที่สุด แก้ปัญหาต่างๆช่วยทำธุระให้ลูกค้า เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขาในทุกๆวัน และสองคือเขียนหนังสือ เขียนคอลัมน์

ซึ่งงานอย่างแรกบอกได้เลยว่าใช้พลังงานเกือบ 70-80% ของชีวิตไปแล้ว เพราะทุกวันจะต้องมีเรื่องให้ต้องทำอยู่เสมอ ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง บางวันอาจจะเป็นเรื่องพนักงาน บางวันอาจจะเป็นเรื่องของการตลาด บางวันอาจจะเป็นเรื่องลูกค้า บางวันอาจจะเรื่องสภาพอากาศ บางวันอาจจะเป็นสถานการณ์โควิดที่แพร่ระบาด บางวันอาจจะเป็นอุบัตเหตุตามท้องถนน ฯลฯ ทุกวันมีปัญหาให้คอยแก้ไข ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยนะถ้าเทียบกับงานที่สองที่ต่ายรัก ซึ่งก็คืองานเขียนที่ทำได้ตลอดเวลา มันมีความสุขที่ได้เขียนหนังสือ ได้ทำในสิ่งที่รัก แต่มีเวลาได้ทำมันแค่นิดเดียวเท่านั้น และถ้าต่ายเชื่อว่า “ถ้าเราได้ทำงานที่รัก เราจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกต่อไป” ต่ายคงเลิกทำบริษัทไปตั้งนานแล้ว และไปเขียนหนังสือเพียงอย่างเดียว


แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ในชีวิตต่ายเชื่อว่าการดำเนินชีวิตควรมีทั้ง “เหตุผล” และ “ความหลงใหล” ควบคู่กันไป การทำ Busy Rabbit เป็นสิ่งที่มีเหตุผล มันเป็นธุรกิจที่มีความหมาย มันสร้างงานให้พนักงานได้หลายชีวิต ทำให้ครอบครัวของพนักงานที่อาหาร มีบ้านอยู่ แม้ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างยากลำบาก ได้ช่วยเหลือลูกค้าในยามที่เขาต้องการใครสักคนเพื่อไปทำธุระให้ Busy Rabbit มีความหมายที่ลึกไปกว่าการแค่ตื่นขึ้นมาทำงาน มันเป็นความสุขที่แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่ก็รู้สึกว่างานที่เราทำนั้นได้ส่งผลทางบวกให้กับคนอื่นๆ มันก็มีค่ามากๆแล้ว

ถามว่าการเขียนหนังสือหรือคอลัมน์มีความสุขไหม แน่นอนมันเป็นสิ่งที่ต่ายรัก แต่อีกด้านหนึ่งของเหรียญคือมันก็เป็นงานที่มาพร้อมความรับผิดชอบ สิ่งที่เราพิมพ์หรือเขียนไปนั้นยิ่งมีคนอ่านเยอะเท่าไหร่ เรายิ่งต้องระมัดระวังให้คุณภาพงานของเรานั้นดีอยู่เสมอ เดดไลน์ต่างๆยิ่งเป็นสิ่งที่คอยกดดันเราอยู่ตลอด บางวันเหนื่อยล้า บางทีไม่สบายปวดหัว ลางานที่บริษัทให้น้องๆดูแล แต่ยังต้องลุกมาเขียนคอลัมน์ส่ง บก. มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่เราต้องทำ เราต้องเป็นมืออาชีพมากพอที่จะทำงานที่รัก ไม่ใช่วันหนึ่งเหนื่อยไม่อยากทำ มันไม่ใช่แบบนั้น

แค่ “ใจ” อย่างเดียวมันไม่พอ จะไปหางานที่รักทำเพราะคิดว่าจะสบาย มันจะไม่พอจ่ายค่าน้ำค่าไฟเอา สิ่งที่ควรทำคือพยายามมองหา “เป้าหมาย” หรือ “ความหมาย” ในงานที่ตัวเองทำ มองภาพที่กว้างขึ้นมาอีก มองให้เห็นทั้งสองด้านของงานที่เราทำ และ งานที่เรารัก อย่าไปมองด้านเดียว อย่าไปมองความทุกข์ที่เกิดจากงานในทางลบซะหมด ลองปรับ ลองเปลี่ยน พยายามดูว่ามันมีประโยชน์ต่อตัวเองในด้านไหน (อาจจะเป็นเรื่องความสามารถ คอนเนคชั่น หรือสกิลด้านใดๆก็ตาม) และส่งผลทางบวกต่อคนอื่นๆแบบไหนบ้าง

ต่ายถามน้องไปว่า “ถ้าน้องได้ทำงานที่รักแล้วมันไม่พอค่าน้ำค่าไฟในแต่ละเดือนน้องจะยังทำไหม? น้องจะยังมีความสุขรึเปล่า? ตื่นมาท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยรุ้งกินน้ำสดใสไหม? อาจจะฟังดูโหดร้าย แต่เราต้องเข้าใจว่านี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น เราจะมองแค่ด้านเดียวไม่ได้”

เรื่องหนึ่งที่ต้องคิดเสมอคือ เราอาจจะไม่ได้ถนัดในงานที่รัก และงานที่รักเราก็อาจจะไม่ได้ถนัด (อย่างเช่นต่ายชอบวาดรูป รักมาก แต่ก็วาดได้แค่มนุษย์หัวกลมๆกับเป็นเส้นๆ) เงื่อนไขชีวิตของทุกคนแตกต่างกัน สุดท้ายต่ายก็บอกกับน้องไปว่าลองปรับมุมมองของงานที่ตัวเองทำอยู่ ปัญหามันอยู่ตรงไหน งานซ้ำซากจำเจน่าเบื่อ หัวหน้างี่เง่า หรืออะไรก็ตามลองปรับดู แน่นอนว่าถ้ามันเป็นงานที่เราโดนกดขี่ คุกคาม หรือ เป็นสิ่งที่เราเกลียดจริงๆ การจะหางานใหม่ไม่ใช่เรื่องผิด แต่การคิดว่า “ถ้าเราได้ทำงานที่รัก เราจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกต่อไป” ก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะยังไงสุดท้ายงานที่รักก็มีทั้งสุขและทุกข์ปนกันไปอยู่ดี

Tags:

busyrabbitinspirationการทำงานความสุขงานที่รักชีวิตถ้าเราได้ทำงานที่รัก เราจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกต่อไปธุรกิจพนักงานลาออกเป้าหมายชีวิตเหรียญสองด้าน

Share Article

Follow Me Written By

sopons

Writer / Columnist (Salmon Books, 101.world, The Matter, Beartai, The People, a day Bulletin, CapitalRead, GQ, Billion Brands)

Other Articles

Previous

ดูให้รู้ Thai PBS – คอปเปะปัง ปังนุ่มต้นตำรับ จากเมือง เมืองโมริโอกะ

Next

เรียนจบแล้วไปไหนต่อ?

Next
May 7, 2021

เรียนจบแล้วไปไหนต่อ?

Previews
May 6, 2021

ดูให้รู้ Thai PBS – คอปเปะปัง ปังนุ่มต้นตำรับ จากเมือง เมืองโมริโอกะ

Related Posts

Agatha Christie : ราชินีแห่งนวนิยายอาชญากรรม

by sopons
December 14, 2021

Ruchi Sinha : 3 ขั้นตอนในการเจรจาเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการ

by sopons
November 18, 2021

Picasso Principle : สร้างนิสัยให้เป็นคนที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์

by sopons
August 3, 2021

“คลื่น 6D ที่ถูกเร่งโดย COVID-19” อนาคตเก่าที่ถูกเร่งให้เปลี่ยนแปลงอย่างเร็วและรุนแรง

by sopons
August 5, 2021
SOPON’S BLOG

STUFF WORTH READING

© 2022, All Rights Reserved.

Quick Links

  • Contact
  • About

Category

  • Self-Improvement
  • Technology
  • Business
  • Thoughts
  • Psychology

Follow

Facebook Twitter Youtube Instagram
  • Home
  • Topics
    • Featured
    • Self-Improvement
    • Business
    • Technology
    • Inspiration
    • Books
    • Life Style
    • Startups
    • Thoughts
    • Travel
  • About
  • Contact