เรียนจบแล้วไปไหนต่อ?
เมื่อวานนี้ก็เป็นวันที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประกาศวันสำเร็จการศึกษา นักศึกษาหลายคนที่เรียนจบก็โพสต์รูปภาพสถานะสำเร็จการศึกษากันเต็มหน้าฟีดไปหมด สำหรับใครหลายๆคนการสำเร็จการศึกษาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในความภูมิใจครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต บางคนก็มองว่าการจบมหาลัยคือการได้ขึ้นบันไดไปสู่อีกขั้นของชีวิต หรือบางคนก็มาหาความหมายในมหาลัยแล้วจบออกไปอยากเป็นผักบุ้ง ชีวิตมหาลัยของแต่ละคนก็จะมีเรื่องราวที่แตกต่างกันไป ทั้งทุกข์และสุข อยู่ที่เราเลือกจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง
ตัวผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในผู้เรียนที่พึ่งเรียนจบออกมา พอเห็นสถานะสำเร็จการศึกษาก็เล่นเอาถอนหายใจ เฮือกใหญ่ อาจเพราะในสถานการณ์แบบนี้ด้วยละมั้งเลยทำให้รู้สึกว่า เรียนจบแล้วจะไปไหนต่อดี?
ก่อนหน้านี้ “เรียนจบ” อาจหมายถึง “เรียนเสร็จ,เรียนคลาสนี้จบ” แต่ในชั้นปีสุดท้าย “เรียนจบ” คือการพ้นสภาพนักศึกษา
ภาพจำลองสถานการณ์การตอบคำถามว่า “เรียนจบจะไปไหนต่อดี?”


กลุ่มเพื่อนที่แยกกันไปเติบโตคือจุดหนึ่งที่บอกเราว่าการเดินทางและผจญภัยโลกแห่งความจริงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เส้นทางหลังเรียนจบของแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันออกไปไม่มากก็น้อยขึ้นอยู่กับแพชชั่นและพ็อตเกตมันนี่หลังเรียนจบของแต่ละคน อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่สิ่งเหล่านี้กำหนดชีวิตมนุษย์ ว่าแต่เรียนจบแล้วพวกเราไปไหนกันบ้างในสถานการณ์แบบนี้
วันนี้ผู้เขียนก็เลยไปรวบรวมประสบการณ์และขอสัมภาษณ์นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาเล็กๆน้อยๆมาให้ เพื่อเป็นเพื่อนกันในวันหลังเรียนจบ
- 1.หางานทำเลย
เรียนจบแล้วไปไหน เรื่องแรกเล่ามาจาก “กิป” กิปเรียนจบมาจากคณะวิทยาศาตร์พอเรียนจบแล้วกิปก็หางานทำทันที
“อยากมีเงินเป็นของตัวเองแล้ว คิดว่าไม่ได้ชอบงานที่กำลังจะทำ 100% แต่เรามองว่ามันเป็นงานที่เราทำได้และมันน่าจะช่วยสร้างเนื้อสร้างตัวได้ แต่ก็หายากอยู่นะเพราะเขาต้องการคนมีประสบการณ์ในการทำงานมา ซึ่งเราก็เป็นเด็กจบใหม่
รุ่นเราเสียเปรียบมากนะ ฝึกงานก็ไม่ได้ฝึกจบมาก็เจอโควิดแบบนี้อีก”

- 2.เรียนต่อ
การเรียนต่อก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นความฝันของหลายๆคน บางคนก็อาจจะลืมความฝันนี้ไว้ระหว่างทางที่เรียนมา แต่ “ไหม” ยังไม่ลืมความฝันนั้นและยังขอเรียนต่อในระบบการศึกษา
“เราเลือกที่จะเรียนต่อนะ เราอยากเรียนต่อเพราะอยากเป็นอาจารย์แล้วก็เรามีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเรารักมาก อีกอย่างคือเราชอบการเรียนอ่ะ มันเหมือนว่าชีวิตเรามีอะไรท้าทายตลอด ก่อนหน้านี้อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่างานวิจัยเราพัฒนาได้อีก เราเลยจะเอางานที่ศึกษาอันนี้ไปพัฒนา มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเกมแล้วเราก็อยากพัฒนาไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ก็กำลังสัมภาษณ์แล้วก็สมัครทุนไป แต่ก็กังวลเรื่องค่าเทอมอยู่นะ ถ้าสอบติด ป.โท แต่ไม่ได้ทุนก็อาจจะต้องลำบากหน่อย”

- 3.ธุรกิจส่วนตัว
“ชมพู่” นักศึกษาจบใหม่ที่พร้อมเข้าสู่โลกของธุรกิจตั้งแต่เรียนจบ ที่มาที่ไปของชมพู่ในการกระโดดเข้ามาในแวดวงนี้ก็คือ
“แม่กูจะให้ไลฟ์ขายมะม่วงอบแห้ง”
ตอนนั้นชมพู่ก็เลยไม่รอช้ารีบแมตซ์สกิลที่ตัวเองมีกับสิ่งที่ตัวเองสนใจ
“ตอนแรกก็ช่วยที่บ้านขายของหรอก แต่พอโควิดกลับมาก็เปิดร้านไม่ได้พอแม่บอกว่าจะให้ช่วยขายมะม่วงก็เลยเข้าเว็บจีนเลย อย่างน้อยก็ใช้ความรู้ที่ตัวเรียนมา เลือกของมาขายพรีออเดอร์ ละก็ช่วงนี้เห็นของตกแต่งบ้าน พรอบถ่ายสินค้ากำลังฮิตก็ดีลกับร้านที่จีน คัดสรรอะไรเอง”
“ก็กลัวนะว่าจะขายได้ไหมเลยเลือกเปิดร้านพรีออเดอร์ไปก่อน อีกอย่างคือไม่อยากเอาความสามารถของตัวเองไปทุ่มให้กับบริษัทคนอื่น อยากทุ่มเทให้กับธุรกิจครอบครัว”

- 4.รอสอบข้าราชการ
คนนี้เขาขอใช้ตัวย่อว่า “JJ” ที่บ้านเลี้ยงแมวพันธุ์ไทยแสนซนชื่อว่าบราวนี่ JJ มีความเชื่อว่าถ้าแมวไม่ดื้อคือแมวปลอม และวันนี้หลังเรียนจบ JJ ก็รอสอบข้าราชการ

“เราเป็นคนไม่ชอบอะไรที่เราเรียนมาเลยอ่ะ ตอนนี้ก็อยู่บ้านว่างๆไม่ทำอะไรเลย ไม่หางานด้วยเพราะตอนแรกที่อยากจะหาสมัครงานก็แพ้คนอื่น เพราะเขาเขียนว่าต้องมีประสบการณ์ เราเลยรอสอบราชการอย่างเดียว
หลังจากมีโควิดแล้วเห็นพนักงานบริษัทเอกชนโดนเลิกจ้าง เราก็เริ่มรู้สึกว่างานข้าราชการมั่นคง ถึงอนาคตจะเกิดวิกฤตอะไรอีกก็มั่นใจได้ว่าเราจะไม่โดนให้ออกจากงานแน่นอน มีเงินเดือนให้ใช้ไปจนแก่เลย อีกอย่างคือเงินเดือนของบริษัทเอกชนในไทยก็เริ่มต้นที่ 12,000 บ้าง 15,000 บ้าง พอๆกับเงินเดือนของข้าราชการเลย พอคิดๆดูถึงความมั่นคง สวัสดิการ เงินบำเน็จบำนาญต่างๆแล้วก็เลยสนใจสอบข้าราชการ
อย่างเราไม่ใช่คนที่ชอบเรียนหนักหรือทำงานหนัก เราไม่ชอบทำงานภายใต้ความกดดันเลย ถ้าเทียบกันแล้วงานข้าราชการกดดันน้อยกว่างานของเอกชน อันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลที่อยากสอบข้าราชการ
เรื่องที่กลัวก็คือคนสอบเยอะเพราะเศรษฐกิจมันแย่เลยกลัวอยู่นะว่าจะไม่ติด บางกระทรวงที่สนใจก็หลายปีกว่าจะเปิดสอบทีหนึ่ง ระยะเวลารับสมัครไปจนถึงวันที่ได้บรรจุใช้เวลาประมาณครึ่งปีถึงหนึ่งปีได้เลย”
- 5.เป็นผักบุ้ง
“เรียนมาหลายปีแล้ว แต่ไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่อยากทำอะไรด้วยคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นโรคซึมเศร้า เป็น Introvert เป็นคนไม่อยากทำงาน — ถ้าเลือกได้ตอนนี้ก็ขอเป็นผักบุ้งของแม่ไปก่อน”
— NEXT เถอะ ชีวิตเราไม่ค่อยมีอะไร
- 6.Work and travel

เพื่อนคนนี้โยกย้ายก่อนจะมีกระแส “ส่ายสะโพกโยกย้าย” เธอออกไปด้วยคอนเซ็ปต์ว่าเรียนจบแล้วอยากทำอะไรต้องได้ทำ “ฝน” เลือกจะไป Work and Travel ที่ South Carolina
“เอาจริงตอนแรกก็ลังเลแหละ ว่าจะไปดีมั้ย มันเป็นโครงการที่อยากทำมานาน แต่ทำไม่ได้เพราะรู้ว่าที่บ้านเป็นห่วง ไม่ยอมแน่นอน ขนาดถ้าอยู่บ้านต้องกลับไม่เกินหนึ่งทุ่ม นี่ล่อไปเมกาคนเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจได้ว่า โอเค เป็นไงเป็นกัน เพราะเพื่อนชวนเลย มีคนไปด้วยหน่อยก็อุ่นใจ เลยสมัครไป ที่บ้านก็ไม่ยอมหรอก ทะเลาะบ้านแตก แต่นี่ก็แบบสู้อะ เอาข้อมูลทุกอย่างไฟต์ แล้วสุดท้ายคือ ออกเงินทุกอย่างเอง ออกเองจริงๆทุกอย่าง ไม่มีใครช่วย แบบนี้ก็คือดำเนินการทุกอย่างเอง เพราะอยากได้ประสบการณ์จริงๆ“
สำหรับชีวิตของเพื่อนตอนนี้ได้รับวัคซีน Moderna แล้ว เลยตัดปัญหาเรื่องกลัวคิด COVID-19 ไปได้อีกหนึ่งเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่เพื่อนกังวลอยู่ก็คือ เรื่องหางานเพิ่ม
“จริงๆตอนนี้ไม่ค่อยกังวลหรืออะไรมากเพราะว่ามีเพื่อนมาด้วย งานที่สมัครมาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่พอมาคิดๆถึงเรื่องเงินก็หลอนๆอยู่เพราะต้องหาเงินเอง
แต่ถ้าถามว่าอยากกลับบ้านไหม ยังไงก็ต้องกลับเพราะที่บ้านเรียกให้กลับ แต่เดี๋ยวก็คงกลับมา”
- 7.ไปทำงานเลย
อันนี้จะไม่ไป Quote ของใครมานะคะ เพราะว่าอันนี้เป็นเรื่องจริงของตัวเอง อย่างตัวผู้เขียนเองก็ถือได้ว่าโชคดีกว่าเพื่อนๆ เพราะจบมาก็มีงานทำเลย “เขาเรียนเราว่าพนักงานใหม่แบบพรีออเดอร์” ตอนนี้ทำงานให้บริษัทสตาร์ทอัพแห่งหนึ่ง สายงานนี้หลุดออกจากกรอบที่เรียนมาค่อนข้างเยอะ ทำให้ช่วงทำงานอาทิตย์แรกต้องออกจาก comfort zone ทุกวัน ซึ่งก็สนุกและท้าทายดี
ความรู้สึกของการเป็นเด็กจบใหม่ที่ได้ทำงานก่อนเพื่อนก็คือ ทำให้เวลาที่เลื่อนๆไอจีก็จะมีคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจว่า “นี่เราได้ใช้ชีวิตหรือยังวะ??” ในขณะที่เพื่อนหางานกึ่งพักผ่อน หยุดพักเพื่อวางแผนอนาคต สิ่งที่เราเครียดสุดในแต่ละวันคือ “วันนี้งานจะเป็นยังไงน้า” บางทีมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังหลุดพ้นจากขบวนอะไรที่มันเป็นความรู้สึกร่วมของเจนเนอเรชั่นเราหรือเปล่า
และ…. การทำงานครั้งแรกทำให้เรารู้ว่า “ถึงจะเป็นงานที่เรารักแต่ถ้าทำงานทุกคนต้องเหนื่อย”
และสำหรับทุกคนที่มาอ่านบทความนี้ คนที่พึ่งเรียนจบเราก็อยากจะแสดงความยินดีที่สำเร็จการศึกษาในที่สุดสิ่งที่พยายามก็ออกผลสักที การที่เราได้เขียนบทความนี้ทำให้เราได้คุยกับเพื่อนๆที่หลังสอบเสร็จก็ไม่ได้คุยกันเลย เราสัมผัสได้อย่างหนึ่งคือเพื่อนหลายคนเหงาแฮะ เราก็เลยหวังว่าเรื่องที่เราเขียนจะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวคุณเองก็ไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่กำลังเจอปัญหาเดียวกับเรา
และอีกอย่างหนึ่งก็คือเราไม่อยากให้คุณเอาเรื่องที่เราเขียนไปเปรียบเทียบกับตัวเอง เพราะพลังแห่งการเปรียบเทียบมันน่ากลัวมากๆถึงแม้ว่าเราจะตัดสินใจมาอย่างดี แต่ถ้าเราได้เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครแล้วเราก็จะไม่มีวันดีพอ (ในบล็อกนี้มีเรื่องของคุณเอม ที่เล่าให้ฟังถึงด้านมืดของโซเชียลมีเดียด้วยนะ ลองหาอ่านได้จ้า)
ถ้าคุณกำลังเหงาแล้วไม่รู้จะเริ่มคุยกับเพื่อนยังไงดีเราอยากให้คุณแชร์บทความนี้ไปชวนเพื่อนคุยก็ได้นะ