ใครคนนั้นที่เข้าใจ : เพราะโลกมันโหดร้าย และเราก็ไม่ได้เข้มแข็งตลอด
ช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ถือเป็นช่วงที่ชีวิต ‘ขรุขระ’ ที่สุดช่วงหนึ่งก็ว่าได้
เตี่ยต้องเข้าออกโรงพยาบาลจนถึงตอนนี้ 4 ครั้งแล้ว ด้วยอาการที่แตกต่างกัน ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ติดเชื้อที่ปอด เสมหะเยอะ ไอ หอบ (แต่ไม่ได้เป็นโควิด)
ภรรยาติดโควิด ผมต้องดูลูกเองหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ เพราะโรงเรียนยังไม่เปิดเทอม
หมาที่บ้านแผลเก่าที่โดนกัดเริ่มกลับมาแฉะต้องพาไปโรงพยาบาลทุก ๆ สองสามวัน
ตรวจสุขภาพหมอบอกไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง ต้องลดน้ำหนัก น้ำตาล ไขมัน และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอมากขึ้น
กำลังเริ่มกลับมาวิ่งได้อย่างสม่ำเสมอได้อาทิตย์หนึ่ง
ลูกไปติดโควิดมาแล้วผมก็ติดด้วย กลายเป็นว่าออกบ้านไม่ได้อีกหนึ่งอาทิตย์และต้องดูลูกเองอีกครั้งเพราะไปโรงเรียนไม่ได้
ตลอดเวลานี้ก็ต้องทำงานอย่างหนักเพราะสิ้นปีมีรายจ่ายเยอะมากที่ต้องใช้ การทำงานเป็นฟรีแลนซ์มีอิสระจริง แต่ถ้าไม่ส่งงานก็ไม่มีรายได้ เพราะไม่มีวันลาป่วยเหมือนทำงานบริษัท และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรับผิดชอบและคุณภาพของงานต้องคงที่เพื่อให้งานที่ออกไปดีที่สุด แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่เลย ไปโรงพยาบาลอยู่กับเตี่ยก็ทำไม่สะดวก อยู่บ้านดูลูกก็ทำไม่ได้เต็มที่เพราะเขาก็เหงาไม่มีคนเล่นด้วย งานที่ค้างอยู่ก็ทำไม่ค่อยทันแต่ต้องพยายามเคลียร์ให้ได้เยอะที่สุด แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่เลยรู้สึก ‘นอยมาก’ เมื่อคืน
หลังจากเอาลูกนอนแล้วประมาณห้าทุ่ม ทักไปหาภรรยาทางเมสเซนเจอร์ที่นอนคนละห้อง (เพราะผมยังเป็นโควิดอยู่) ก็ระบายให้ฟังว่าเหนื่อยมากช่วงนี้ อะไรมากมายเยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ชอบเลยที่ไม่ได้ทำงานเต็มที่ อยากกลับไปออฟฟิศ อยากเขียนหนังสือ บลา ๆๆๆๆๆ คือบ่นครับ บ่นเลยแหละ และผมเป็นคนที่ไม่ค่อยบ่น ไม่ค่อยพูดอะไรแบบนี้ คือถ้าผมพูดแสดงว่ามันปริ่มพร้อมระเบิดแล้ว
ภรรยาก็รับฟังแล้วก็ปลอบ คุยกันสักพักหนึ่งจนผมสติไม่ฟุ้งซ่าน ผมก็กลับไปนอนหลับ
เช้าวันนี้ชีวิตก็ดำเนินต่อไปครับ ทุกอย่างก็ยังดูวุ่นวายเหมือนเดิม สถานการณ์ไม่ได้มีอะไรที่ดีขึ้นกว่าเดิม เตี่ยก็ยังอยู่รพ.รักษาตัว หมาก็ยังต้องไปหาหมอ ผมก็ยังติดโควิด ลูกก็ยังติดโควิด งานมากมายที่ยังต้องทำ ค้างเป็นภูเขา ไขมันในเลือดก็คงไม่ได้ลดลงอะไรเพราะไม่ได้ออกบ้านไปวิ่งกลัวไปติดคนอื่น
ครั้งหนึ่งตอนที่ผมเป็นเด็กมหาวิทยาลัยปีสองแล้วลงเรียนวิชาสถิติความเป็นไปได้ มันเป็นวิชาที่ผมงงและมีคำถามเยอะมาก แต่โชคดีที่ว่าที่มหาวิทยาลัยแต่ละคลาสมักจะมี TA (Teacher Assistant) ที่เป็นเด็กปริญญาโทมาคอยช่วยสอนเพิ่มหลังจากจบคลาสแต่ละวัน เป็นเหมือนคลาสเสริม ใครเข้าใจที่อาจารย์สอนแล้วจะไม่ไปเรียนกับ TA ต่อก็ไม่มีปัญหา หรือถ้าใครไม่เข้าใจก็เอาการบ้านไปถาม TA ได้
TA ของผมชื่อ เสียว หลู่ (Xiao Lu) ซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาโทจากประเทศจีน หน้าตี๋ ๆ ขาว ๆ ตัวผอมบาง แว่นตากรอบสี่เหลี่ยม เขาเป็นคนเก่ง แต่ภาษาอังกฤษสำเนียงต้องบอกว่าฟังแล้วเหนื่อยมาก คือคลาสแรกนี่ผมไม่เข้าใจที่เขาพูดเลยสักคำ แต่วันต่อมาผมก็ยังกลับมา แต่จำนวนเด็กในห้องเริ่มลดลง
ประมาณเกือบสองเดือน (คอร์สหนึ่งประมาณ 2 เดือนกว่า) นักเรียนในคลาสจาก 30 คน ก็ค่อยหายไปในคลาสต่อมา เพราะฟังเขาพูดไม่รู้เรื่องกัน
20, 10, 5, 2….แล้วสุดท้ายก็เหลือผมแค่คนเดียว
วันที่เหลือผมคนเดียว ตอนผมเปิดประตูเข้ามา เขานี่แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แต่เขาก็ยังสอน ผมก็ตั้งใจฟังเหมือนอย่างที่ผ่านมานั่นแหละ จนกระทั่งจบคลาส
เขาก็ถามผมว่า “คลาสหน้ายังจะมาอยู่ไหม?” ผมก็ตอบ “ถ้ายูยังสอนไอก็มานะ”
เขานี่ร้องไห้เลยแล้วบอกผมว่าขอบคุณมาก ๆ เลย เพราะเขาสูญเสียความมั่นใจไปหมดเลยกับจำนวนนักเรียนที่ลดลงเรื่อย ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวมากและเป็นครูที่แย่มาก ผมก็ฟังแล้วก็บอกว่า “ยูไม่ได้แย่หรอก แต่ไออะฟังยูไม่รู้เรื่องเลยต้องกลับมาฟังทุกวัน” ผมยิ้มแล้วก็หัวเราะ “ล้อเล่นหน่า…ยูสอนดีจะตาย เมื่อก่อนไอก็พูดแบบนี้แหละ เข้าใจเลย คนฟังไม่รู้เรื่อง เสียความมั่นใจ แต่ของยูยังโอเค ตั้งใจฟังหน่อยเดี๋ยวก็เข้าใจ ตอนนี้ชินไปแล้วด้วย ขอบคุณที่ช่วยสอนทุกคลาสเลยนะ” ผมจับมือเขาแล้วก็แยกย้ายกัน
เทอมนั้นผมได้ A- และได้เพื่อนใหม่อีกคนที่ชื่อ เสียว หลู่
เรามักไปดื่มกาแฟและคุยกันเสมอหลังจากนั้น แต่หลังจากเรียนจบเขาก็ตัดสินใจกลับไปเป็นครูที่บ้านเกิด ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเขาบอกว่า “ขอบคุณยูมากเลยนะที่วันนั้นมาเรียนคลาสของไอ เพราะจังหวะนั้นคิดเลยว่าถ้าไม่มีใครมาเรียนก็คงตัดสินใจไม่เป็นครูแล้ว”
เราเป็น “ใครคนนั้น” ของคนอื่นได้เสมอ แม้ว่าเราไม่รู้ตัว เพราะโลกนี้มันไม่ได้สวยงาม และเราก็ไม่มีทางเข้มแข็งได้ตลอด
ชีวิตเราผมเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคนที่รับฟังเราได้ คนที่เมื่อเราอยู่ในจุดที่เลวร้ายเขาพร้อมฟังแล้วบอกว่า “ไหนเล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น” คนแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พี่น้อง คนรัก หรือใครก็ตามจงรักษาเขาเอาไว้ให้ดีเพราะมันหายากมาก คนที่รับฟังแล้วไม่ตัดสิน คนที่ไม่บอกว่า ‘เรื่องแค่นี้’ แล้วให้เรากดเก็บอารมณ์ของเราไว้ คนที่ไม่ด้อยค่าความรู้สึกของเรา ถ้าเจอจงกอดและขอบคุณพวกเขาบ่อย ๆ ที่ทำให้ช่วยผ่านวันยาก ๆ มาได้
แม้ตอนนี้เราขาดการติดต่อกันไปแล้ว แต่ผมเชื่อว่าเขายังเป็นคุณครูที่เก่งอยู่ที่บ้านเกิดที่เมืองจีนอย่างแน่นอน