ไม่ว่าคุณจะเป็นใครในโลกใบนี้ – คนทั่วไป พนักงานประจำ หรือ เจ้าของธุรกิจเล็กใหญ่ – คงไม่มีใครปฏิเสธได้อีกต่อไปว่าอินเตอร์เน็ตนั้นมีความจำเป็นกับชีวิตประจำวันของเราไม่มากก็น้อย
สำหรับบุคคลทั่วไปแล้วในเวลานี้มีแพคเกจอินเตอร์เน็ตที่ติดบ้าน – Home Internet (หรือที่รู้จักโดยทั่วไปว่าเน็ตบ้าน) – ความเร็วสูงมาให้เลือกกันอย่างหลากหลาย แถมราคาก็ถูกลงเรื่อยๆ ถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากเมื่อเทียบกับสมัย 2-3 ปีก่อนหน้านี้
เจ้าของธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่ต่างต้องการที่จะปกป้องเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้อย่างยากลำบาก แต่สิ่งที่พวกเขามักมองข้ามคือการเลือกที่จะประหยัดเงินกับสิ่งที่ควรลงทุนอย่างอินเตอร์เน็ต เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่ใช่บริษัทที่ขนาดใหญ่ จะเลือกใช้เน็ตบ้านเพื่อให้บริษัทของพวกเขาเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ จริงอยู่ที่อินเตอร์เน็ตสำหรับบริษัท (corporate internet) มีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่ามาก แต่สิ่งที่ตามมาด้วยก็เป็นผลพลอยได้ที่คุ้มค่าอย่างการเชื่อมต่อที่เสถียร ฟีเจอร์ต่างๆที่เน็ตบ้านไม่ได้มีความจำเป็น และการดูแลที่ดีกว่าเมื่อต้องการความช่วยเหลือ
การตัดสินใจเพื่อชดเชยต้นทุนบางครั้งก็ทำให้คุณเสียประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อการกระทำนั้นทำให้งานที่ต้องทำอยู่ตลอดนั้นสะดุดและถึงเป้าหมายได้อย่างติดๆขัดๆ
สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดี ยืนอยู่ตรงทางแยกว่าจะใช้เน็ตบ้านหรือเน็ตของบริษัทดี ประโยชน์ของมันจะเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงมากขึ้นรึเปล่า? ลองอ่านต่อไปเผื่อว่ามันอาจจะทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ง่ายยิ่งขึ้น
เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมอินเตอร์เน็ตที่ใช้อยู่ถึงหน่วงๆ บางครั้งก็เชื่อมต่อได้แบบตะกุกตะกัก บางเวลาสัญญาณก็อาจจะหายไปดื้อๆ เหตุผลก็คือว่าเวลานั้นคุณอาจจะกำลังแชร์การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับลูกค้าเน็ตบ้านคนอื่นๆในละแวกนั้น และมันเป็นช่วงเวลาที่คนใช้อินเตอร์เน็ตกันเยอะๆ
เมื่อ bandwidth ถูกแชร์ มันก็จะทำให้ประสิทธิภาพของการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตลดลงไปด้วย ผู้ให้บริการจะเป็นคนกำหนดว่า connection อันหนึ่งจะมีคนร่วมแชร์ได้เท่าไหร่ ถ้าเห็นตัวเลขอย่าง 40:1 ก็หมายความว่า 40 จุดต่อหนึ่งการเชื่อมต่อ เมื่อมีคนใช้ช่วงพีคๆ ก็หมายความว่าทุกคนออนไลน์กันหมด เมื่อนั้น bandwidth ก็จะเริ่มติดขัด นี่คือเหตุผลว่าทำไมเน็ตบ้านถึงราคาถูกกว่ามากเพราะมันถูกแชร์ไปให้หลายที่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ถ้าไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตแบบหนักๆ หรือว่าแค่ดูหนังฟังเพลงไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
แต่ถ้าเป็น corporate internet ปกติแล้วจะมีการเชื่อมต่อแบบ 1:1 ซึ่งหมายความว่าคุณคือผู้ใช้งานคนเดียว ซึ่งจะทำให้อินเตอร์เน็ตของบริษัทเสถียรมากกว่า เร็วไม่ตก ไม่ว่าเวลาไหนของวัน ถ้าตุณต้องการเรื่องความมั่นคงและแน่นอน สำหรับตัวบริษัทเองและลูกค้าที่ใช้งาน การอัพเกรดเป็นเน็ตบริษัทก็ถือว่าจำเป็นไม่น้อย
แทบทุกคนเวลาเลือก/เปรียบเทียบผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ตจะนำตัวเลขความเร็วการอัพโหลด/ดาวน์โหลดจากหลายๆที่มาเทียบกันเพื่อหาดีลที่ดีที่สุด ตัวเลขเหล่านี้คือสิ่งที่บ่งบอกว่าในสถานการณ์ที่ “ดีที่สุด” มันจะเร็วได้ขนาดไหน (ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 1 Gbps)
สำหรับคนที่ใช่เน็ตตามบ้าน ความเร็วของการดาวโหลดจะมีความสำคัญกว่าอัพโหลดเพราะเราเป็นบุคคลที่เสพข้อมูล แต่สำหรับบริษัทที่ให้บริการออนไลน์ อย่าง webminar หรือสำหรับบริษัทที่มีการเก็บข้อมูลไว้บน cloud อยู่ตลอดเวลา ค่าอัพโหลดคือสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยเลยทีเดียว
ปกติแล้ว corporate internet จะมาพร้อมกับสิ่งนี้ มีความเร็วและเชื่อมต่อโดยไม่ติดขัด ไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลดที่ใช้สำหรับการโหลดคอนเทนท์/สตรีมมิ่งหรืออัพโหลดเก็บข้อมูลสำคัญบน cloud สำหรับการเรียกใช้ในอนาคต
เน็ตบ้านนั้นมักจะมีความเร็วในการโหลดสูงแต่อัพโหลดที่ต่ำกว่ามาก เพราะไม่มีความจำเป็นและลดค่าใช้จ่ายให้ถูกลง สำหรับอินเตอร์เน็ตของบริษัทส่วนใหญ่แล้วสองเลขจะมีค่าใกล้เคียงกัน ไม่ว่ากิจกรรมของพนักงานบริษัทจะเป็นแบบไหน หรือใช้เพื่อทำอะไร สิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปด้วย
แล้วต้องเลือกยังไง? อันนี้ต้องแล้วแต่ว่าจำนวนผู้ใช้งาน (ทั้งลูกค้าและพนักงาน) มีเยอะมากขนาดไหน อาจจะสอบถามจากพนักงานและเทียบดูว่าแค่ไหนถึงจะกำลังพอดี คุณอยากจะทำให้ความเร็วมันมากพอเพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานไหลลื่นมากที่สุด
IP Address ก็เหมือนเลขที่บ้านของเครือข่ายของคุณออนไลน์ Dynamic IP Address ที่มีการเปลี่ยนอยู่ตลอดนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการนั้นมอบให้อยู่แล้ว แต่ถ้าเราจ่ายเพิ่มอีกนิดหนึ่งเราจะได้ที่อยู่ออนไลน์อบบถาวร เป็น Static IP Address ที่ประสิทธิภาพในการทำงานจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
Static IP Address นั้นจะทำให้เครือข่ายของคุณนั้นมีความมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น ถ้าคุณต้อง ถ้าต้องการโฮสต์เซิฟเวอร์ของตัวเอง สิ่งนี้ก็ขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน หรือถ้าคุณมีพนักงานที่ทำงานนอกพื้นที่แล้วต้องการเชื่อมต่อเข้ามาในเครือข่ายของบริษัท หรืออยากจะติดตั้งระบบ vpn (virtual private network) การมี static ip ก็ขาดไม่ได้อีกนั้นแหละ
ไม่ว่าอินเตอร์เน็ตบ้านหรือของบริษัททุกแพคเกจที่ทางผู้ให้บริการเสนอนั้นจะมาพร้อมกับระบบป้องกันในระดับหนึ่ง แต่สำหรับบริษัทนั้นความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นสำคัญมากกว่าผู้ใช้อินเตอร์เน็ตบ้านทั่วไป เพราะถ้าเกิดมีการเล็ดลอดเข้ามาของผู้ไม่ประสงค์ดีในระบบได้แล้ว อาจจะเกิดความเสียหายที่เข้าขั้นเลวร้าย เสียทั้งชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของบริษัทและในบางรายข้อมูลของลูกค้าจำนวนมากที่หาค่าไม่ได้ เพราะฉะนั้นบริษัทต้องเลือกระบบอินเตอร์เน็ตที่เหมาะสม มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ป้องกันการคุกคามจากภายนอก (antivirus, antispyware, firewall, abuse control, spam control และ online backup) และเหมาะสำหรับการบริหารธุรกิจมากกว่าเน็ตบ้านทั่วไป
ฝ่ายบริการที่ครอบคลุมกว่าในทุกเรื่องอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่พอถึงเวลาที่ต้องการขึ้นมา มันถึงขั้นคอขาดบาดตายกันเลยทีเดียว ลองคิดดูถ้าวันหนึ่งเครือข่ายล่ม สิ่งที่ต้องสูญเสียนั้นมากมาย ไม่ใช่แค่เงินหรือเวลา แต่เป็นความรู้สึกของลูกค้าที่อาจจะแก้ให้กลับคืนมาเหมือนเดิมไม่ได้อีกเลย โดยปกติแล้ว corporate internet จะมีสัญญาที่ทางผู้ให้บริการเครือข่ายแจ้งเอาไว้ก่อนล่วงหน้า เกี่ยวกับเรื่อง performance ของอินเตอร์เน็ตและบริการต่างๆ และค่าเสียหายในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถทำตามสัญญาได้ และลูกค้าในกลุ่มนี้จะได้รับการดูแลก่อนเป็นอันดับต้นๆถ้าเกิดปัญหา
มากกว่านั้นอาจจะมีฟีเจอร์ที่แถมมาด้วยอย่างการ backup ข้อมูลบน cloud ให้โดยอัตโนมัติ, VPNs, ระบบป้องกัน และการติดตั้งในส่วนต่าง
สำหรับคนที่ต้องการแค่ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไป Home Internet น่าจะเพียงพอแล้ว แต่สำหรับบริษัท อาจจะถึงเวลาที่จะเปลี่ยนจาก home internet มาเป็น corporate internet กันได้แล้วถ้าที่กล่าวมาด้านบนคือสิ่งที่คุณให้ความสำคัญ มันคือการลงทุนเพื่อธุรกิจและอนาคต เป็นค่าใช้จ่ายที่สร้างผลตอบแทนระยะยาว เป็นเครื่องมือที่เพิ่มความแข็งแกร่งและมั่นคงให้กับองค์กร บ้านก็ส่วนบ้าน บริษัทก็ส่วนบริษัท อินเตอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน
No Comment! Be the first one.