“Influencer” หรือ “อินฟูลเอนเซอร์” เชื่อว่าตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักคำนี้อีกแล้วในโลกถ้าอยู่ในโลกของธุรกิจ มันหลายเป็นหนึ่งในอาชีพของโลกยุคใหม่ที่ใครหลายต่อหลายคนอยากจะทำ กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำตลาดของแบรนด์น้อยใหญ่ต่างๆมากมายที่ช่วยทำให้สินค้าและบริการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น YouTuber, Blogger, Vlogger, TikToker หรืออะไรก็ตาม ต่างมีผู้ติดตามของตัวเอง เป็นแฟนคลับขนาดย่อมที่เชื่อถือในตัวอินฟูลเอนเซอร์เหล่านั้น เพราะฉะนั้น Influencer Marketing กลายเป็นส่วนที่ทำให้แบรนด์เติบโตในโลกโซเชียลได้เป็นอย่างดี
มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก เริ่มต้น Facebook มาตั้งแต่เขาอยู่ในหอพักที่ฮาวาร์ดในปีช่วงต้นปี 2000s’ และในปัจจุบันเฟซบุ๊คกลายเป็นหนังสือพิมพ์สำหรับคนมากกว่าหนึ่งพันล้านล้านคนในทุกวัน สิ่งที่เขาสร้างกลายเป็นปรากฏการณ์แห่งเทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบไปทั่วโลก
Google และ Facebook มักที่จะชอบคุยถึงสิ่งล้ำสมัยต่าง ๆ ที่พวกเขากำลังทำอยู่เสมอ – Metaverse! รถไร้คนขับ! Cloud! ปัญญาประดิษฐ์!
คุณอยากมีผิวสีน้ำเงินไหม? อยากไปเจอเพื่อนโดยที่ไม่ต้องออกจากบ้านหรือเปล่า? เข้าร่วมงานแฟนไซต์กับศิลปินโดยที่ไม่ต้องบินไปต่างประเทศ? เดินในพิพิธภัณฑ์ความทรงจำของคนอื่น? — เคยจินตนาการเรื่องพวกนี้ไว้บ้างไหม “เพราะอะไรที่เราจิตนาการได้มันเป็นไปได้”
Mark Zuckerberg (มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก) เขียนโน๊ตถึงทุกคนหลังจากที่ระบบของบริษัทและแอพริเคชั่นในเครือข่ายไม่สามารถเข้าใช้งานได้ เขาบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้นมาในหลายปี 24 ชั่วโมงเขาทำงานอย่างหนักเพื่อเสริมระบบให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เขาบอกว่าเขาเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ของเขามีความสำคัญต่อผู้คนมากเพียงใด
มีพี่คนหนึ่งที่ผมรู้จักเขาเพิ่งแต่งงาน ครั้งหนึ่งเคยถามว่าพี่เขาเจอผู้หญิงคนนี้ยังไง? เพื่อนแนะนำมาเหรอ? เขาบอกไม่ใช่เลย เขาเป็นเพื่อนของเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกัน แต่ได้คุยกันเพราะเห็นรูปโปรไฟล์กันแล้วก็รู้สึกถูกชะตา เขาเลยทักทายไป ผ่านมาแล้วหลายปีหลังจากการเซย์เฮลโล่ในวันนั้น ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่กลายเป็นสามีภรรยากันเรียบร้อย ความรักยังคงเป็นหัวใจของความสัมพันธ์สำหรับทั้งสองคน แต่เรื่องแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกที่คนตั้งคำถามอีกต่อไป ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นบนสายไฟเบอร์กลายเป็นธรรมดามากขึ้นทุกๆวันสำหรับคนในยุคนี้ และมันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างแน่นอน
“กรุณารอสักครู่…สายของคุณสำคัญกับเรา…ติ้ง ตุ้ง ติ้ง ตุ้ง ติ้ง…” เสียงตอบรับอัตโนมัติดังมาทางสายโทรศัพท์ มันเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันดีสำหรับผู้บริโภคทั่วไปอย่างเราเมื่อโทรเข้าไปสอบถาม ร้องเรียน แนะนำ และขอความช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับบริษัททั่วไป การถือสายรอพูดกับเจ้าหน้าที่ถือเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เพราะจำนวนพนักงานฝ่ายบริการลูกค้า (Customer Service) นั้นดูเหมือนไม่เคยเพียงพอต่อจำนวนสายที่เรียกเข้ามา ครั้นจะเพิ่มพนักงานก็เป็นภาระค่าใช้จ่ายที่มากพอสมควร ในตอนนี้บริษัทน้อยใหญ่จึงหันมาพึ่งพา AI (Artificial Intelligence) เพื่อช่วยเติมเต็มช่องว่างและเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการลูกค้าไม่ให้รู้สึกว่าโดนทอดทิ้งและได้รับการเอาใจใส่อย่างเต็มที่
CEO Mark Zuckerberg มีการวางแผนกลยุทธ์ที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างของ WhatsApp, Instagram (ส่วนของ direct messages) และ Facebook Messenger เพื่อที่จะให้เมสเสสสามารถส่งผ่านหากันได้หมดทุกแพลตฟอร์ม สำนักข่าว The New York Times ได้เปิดเผยเรื่องนี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาโดยบอกว่าพี่มาร์คนั้นต้องการเริ่มใช่เทคโนโลยีที่เรียกว่า “end-to-end encryption” ซึ่งแค่การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ก็ถือว่าเป็นงานขนาดยักษ์ที่ต้องใช้ขุมกำลังขนาดมหาศาลแล้ว เพิ่มการออกแบบระบบที่สามารถใช้ได้ทั้งสามแอพพลิเคชันพร้อมกับ end-to-end encryption (ที่ผู้ใช้งานจะใช้ได้แบบไม่งงงวย) ถือเป็นขั้นตอนที่ท้าทายที่สุดเลยก็ว่าได้
นี่อาจจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักสำหรับ “Social Media”, ถ้าเปรียบเป็นคนก็คงกำลังโดนมรสุมชีวิตวัยรุ่นที่กำลังพยายามค้นหาตัวเอง และคนที่อยู่รอบข้างก็เริ่มเอือมระอาไม่อยากสุงสิงด้วยอีกต่อไป
Facebook เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก ทั้งในเรื่องของมูลค่าทางตลาดและการเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้ใช้งานทั่วโลก ถ้าเปรียบโลกใบนี้เป็นมหาสมุทร จะบอกว่าพวกเขาเป็นวาฬสีน้ำเงิน สิ่งมีชีวิตที่ขนาดใหญ่ที่สุดในนี้ก็ไม่ผิดอะไรนัก และถึงแม้จะมีศัตรูอยู่บางในบริเวณใกล้เคียง แต่ก็แทบจะไม่มีนักล่าคนไหนที่สามารถทำอันตรายมันได้เลย ซึ่งถ้าใครเคยอ่านนิทาน Pinocchio คุณผมเราท่านที่ใช้งานกว่า 2.3 พันล้านคนทั่วโลกก็เหมือนนั่งอยู่ในท้องวาฬตัวนี้ เขาอยากพาไปไหนก็ต้องไปด้วยกันนี้แหละ