ทำไมใคร ๆ ก็ไม่รับโทรศัพท์
โทรศัพท์เข้ามาในชีวิตคนอเมริกันในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20 ในตอนแรกไม่มีใครรู้วิธีการใช้โทรศัพท์อย่างแน่นอน จนกระทั่ง Alexander Graham Bell ต้องการให้ผู้คนเริ่มการสนทนาโดยพูดว่า “Ahoy-hoy!” แต่ในที่สุด คนอเมริกันก็เรียนรู้ที่จะพูดว่า “Hello” และเกิดวัฒนธรรมบนกับการโทรมากมาย
ในช่วงเวลาหนึ่งเมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเรา “จำเป็น” ต้องรับโทรศัพท์ ความคิดนี้แทรกซึมวัฒนธรรมตั้งแต่ผู้ใหญ่จนถึง ในกลุ่มเด็ก ๆ รายการ Hello Kitty ก็ถูกออกแบบมาเพื่อสอนเด็ก ๆ ถึงวิธีการทำงานของโทรศัพท์ อย่างเช่น เมื่อโทรศัพท์เริ่มส่งเสียงดังขึ้น เด็ก ๆ ก็จะเข้าใจว่า “มันคือโทรศัพท์ เย้!” แล้วก็จะตะโกนเรียก “แม่! แม่! โทรศัพท์กำลังดัง รีบมาเร็ว! เดี๋ยวเขาจะวางสาย”
ก่อนที่จะมี caller ID ที่ว่าใครโทรมานั้น หากคุณไม่รับโทรศัพท์ทันเวลานั่นก็คือ คุณต้องรอจนกว่าพวกเขาจะโทรกลับ แล้วถ้าคนที่โทรมามีเรื่องสำคัญจะบอกคุณหรือถามคุณล่ะ? ขาดสายแน่ ซึ่งมันแย่มาก ใครโทรเข้ามาต้องรีบรับนะ!

ถ้าไม่รับสายก็เหมือนมีคนมาเคาะประตูบ้าน แล้วคุณยืนหลังประตูไม่ยอมเปิดประตู การทำแบบนั้นมันค่อนข้างหยาบคาย และลับ ๆ ล่อ ๆ นอกจากนี้ ถ้าโทรศัพท์ดังขึ้น มันจะมีคำถามมากมายอยู่เสมอ มีอะไรต้องจัดการหรือเปล่า ใครโทรมา? ต้องการอะไร? สายนี้โทรหา … เราเหรอ?
สิ่งนี้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ผู้คนทั่วไปสามารถใช้เพื่อทำความเข้าใจการสื่อสารผ่านเทคโนโลยี เมื่อคุณโทรหาใครซักคน ถ้าเขาอยู่ที่นั่น เขาจะรับสาย พวกเขาจะทักทาย ถ้ามีคนโทรหาคุณ ถ้าคุณอยู่ที่นั่น คุณก็จะรับสาย คุณจะทักทาย นั่นเป็นเพียงวิธีการทำงานของโทรศัพท์
อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมนี้กำลังหายไป ….. ไม่มีใครรับสายอีกต่อไป แม้แต่ในวงการธุรกิจ พวกเขาก็ยังทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการรับโทรศัพท์ จากที่เคยโทรไป 50 สายหรือมากกว่านั้นในเดือนที่แล้ว เราอาจจะรับสายสี่หรือห้าครั้งต่อเดือน ภาพนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน ในคนที่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมการโทรศัพท์
การแลกเปลี่ยนทางโทรศัพท์ในยุคนั้นเป็นสิ่งที่โรเบิร์ต ฮ็อปเปอร์ นักวิชาการอธิบายว่า “ไม่ใช่พิธีกรรม แต่เป็นกิจวัตรจนดูเหมือนเป็นพิธี” เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทุกคนรู้ดีว่าต้องตอบและพูดตาม “พิธีกรรม ตามทัศนคติของชาติ” แต่ตอนนี้คนลืมวิธีการรับสาย การตอบกลับไปแล้ว
มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้วัฒนธรรมโทรศัพท์พังทลายลงอย่างช้าๆ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือโครงสร้าง ในปัจจุบันมีตัวเลือกในการสื่อสารที่มากกว่าเดิม เช่น การส่งข้อความและมัลติมีเดียที่เกี่ยวข้อง อย่าง การส่งคำที่ผสมกับอิโมจิ Bitmoji, gif, ภาพถ่ายเก่า, วิดีโอ, ลิงก์
การส่งข้อความเป็นเรื่องสนุก สามารถดำเนินการกับคนจำนวนมากได้พร้อมๆ กัน เกือบจะทันทีเหมือนกับการโทร แต่เราไม่ต้องพูดเลย เรามี Twitter, Facebook, Slack, อีเมล, FaceTimes ที่มาจากสมาชิกในครอบครัว

80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของสายที่โทรเข้ามาอาจเป็นสแปมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ตอนนี้ ถ้าตอนนี้เราได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากฟากหนึ่งของห้อง ตอนแรกเราอาจรู้สึกตื่นเต้นถ้าคิดว่าเป็นข้อความ แต่เมื่อมันดังขึ้นเรื่อย ๆ และเราก็จะรู้ว่านั่นคือคือการโทรเข้า และเราจะไม่แม้แต่จะเดินผ่าน
เพราะว่ามันมี telemarketing calls ที่ไม่พึงประสงค์ โดยมี robocall เล่นเสียงข้อความที่บันทึกไว้ หรืออาจจะมีนักการตลาดทางโทรศัพท์แบบไซบอร์กซึ่งนั่งอยู่ในคอลเซ็นเตอร์โดยเล่นเสียงที่บันทึกไว้ล่วงหน้าเพื่อจำลองการสนทนา มีการโทรสแปมซึ่งมีจุดประสงค์เพียงเพื่อยืนยันว่าหมายเลขโทรศัพท์ของคุณเป็นของจริงและใช้งานได้
Federal Communications Commission ได้พยายามชะลอการทำงานของ robocall มีแอพที่ชื่อว่า YouMail (ในไทยก็มี whocalls? ให้บริการอยู่นะ) เป็นแอปที่พยายามบล็อกการโทรประเภทนี้ และพวกเขาสร้างการประมาณจำนวนการโทรด้วย robocall ในแต่ละเดือน ซึ่งมันมีตัวเลขส่ายไปมา และเดือนเมษายน 2018 แสดงให้เห็นเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล
Chart derived from YouMail’s Robocall Index.
นักการตลาดทางโทรศัพท์เป็นต้นแบบของการฉกฉวยประโยชน์จากแรงผลักดันของวัฒนธรรมรับโทรศัพท์ ผู้คนเบื่อหน่ายกับการทำงานรูปแบบที่ซ้ำซากและจำเจ จนในที่สุดคนก็เลิก.
เครื่องจักรคือซอฟต์แวร์ประเภทที่หมุนหมายเลขโทรศัพท์ได้ พวกเขาเพียงแค่โทรและโทรและโทรและโทร บ่อยครั้งเมื่อเราพลาดรับสายขึ้นมา เราก็ไม่ทำอะไรเลยนอกจาก —- วางสายซะ และจากนั้นเบอร์โทรศัพท์ที่มีค่าของเรา ก็จะถูกขายให้กับนักส่งสแปมรายต่อไป
ที่มา : https://getpocket.com/explore/item/why-no-one-answers-their-phone-anymore