Yuval Noah Harari เรื่องเล่าและงบ 2% สามารถกอบกู้โลกได้
Yuval Noah Harari คือนักเขียนหนังสือชุด เซเปียร์(2015), โฮโมดีอุส(2017) และบทเรียนสำหรับศตวรรษที่ 21 (2018) หนังสือทั้งสามเล่มครอบคลุมทั้งเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ ไปจนถึงเรื่องราวในอนาคต ทั้งสามเล่มขึ้นแท่นเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในหลายประเทศ นักประวัติศาสตร์และปราชญ์ชาวอิสราเอลท่านนี้เรียกได้ว่ามาถึงตำแหน่งสูงสุดของปัญญาชน เขากลายเป็นนักคิดคนสำคัญแห่งยุคเลยทีเดียว
แนวคิดหลักของแฮรารี่ คือแนวคิดที่เชื่อว่าสังคมมนุษย์ส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนโดยความสามารถของเผ่าพันธุ์ในการสร้างความเชื่อ เราอาจจะเรียกได้ว่ามนุษย์เชื่อใน นิยาย ไม่ว่าจะเป็นพลังแห่งเทพพระเจ้าหรือการเป็นชาติ แฮรารี่กล่าวว่าความเชื่อของเราทำให้มนุษย์เราร่วมมือกันในระดับสังคม
บทความเรื่องนี้มาจากการสัมภาษณ์ของเขากับ New York’s times ผู้สัมภาษณ์ได้เริ่มพูดคุยกับเขา โดยการถามความคิดเห็นของเขาว่าเขารู้สึกอย่างไรที่แนวคิดของเขากลายเป็นคำทำนายที่มีชีวิต และกำลังรอการพิสูจน์
“มันคือสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับผมเลยหล่ะ ผมกลายเป็นผู้ทำนายหายนะ แต่ก็มีบางมุมมองที่ตรงกันข้าม ผมคิดว่าแนวคิดทั้งคู่อาจเป็นจริงก็ได้ แต่เมื่อหนังสือตีพิมพ์ไปแล้ว ความคิดก็ของผมก็จะอยู่ในมือทุกคน”
สมมติฐานของเขา มีแก่นมาจากสาขาวิชาประวัติศาสตร์ และความพยายามที่จะสร้างการสังเคราะห์ขนาดใหญ่ โดยใช้แนวคิดของชีววิทยาและวิวัฒนาการ รวมไปถึงเศรษฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา สาขามนุษยศาสตร์ได้ล้มเลิกความตั้งใจ และเกือบจะกลายเป็นเรื่องต้องห้ามที่จะสร้างเรื่องเล่าที่ยิ่งใหญ่ แต่มุมมองของมนุษยศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ คำถามเชิงปรัชญามากมายที่รบกวนจิตใจมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปีกำลังกลายเป็นความจริง
ก่อนหน้านี้ปรัชญาเป็นสิ่งที่หรูหรา มีไว้เพื่อท้าทายว่าเราจะสามารถดื่มด่ำกับมันได้หรือไม่
แต่ตอนนี้ คุณจำเป็นต้องตอบคำถามเชิงปรัชญาที่สำคัญจริงๆ ว่ามนุษย์หรือธรรมชาติของความดีอะไร เพื่อตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่กำลังเติบโตขึ้น ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีชีวภาพใหม่ แฮรารี่กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้เขาเข้าถึงผู้คนได้อาจเพราะว่าเขาเสนอมุมมองของประวัติศาสตร์และปรัชญา ไม่ใช่ชีววิทยาหรือเศรษฐศาสตร์ นอกจากนี้ ความคิดที่สำคัญที่สุดของเขานั้นคือความเรียบง่าย เป็นหลักสำคัญของนิยายที่คนจะเข้าใจกันทั่วโลก เรื่องราวที่คุณเชื่อ มันจะหล่อหลอมสังคมที่คุณสร้างขึ้น
ยิ่งเรื่องราวเหล่านั้นซ้ำซากจำเจเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งประทับใจมากขึ้นเท่านั้น
เรื่องราวทั้งหมดนี้เกี่ยวกับเรื่องสมมติ ซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดที่เขาได้เรียนรู้ในปีแรกที่ในชั้นเรียนปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ เขาคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ธรรมดาที่สุดที่ทุกคนรู้ แต่พอเอาเข้าจริง สิ่งที่เขาเขียนกลับกลายเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ของคนจำนวนมาก ทั้งเรื่องโครงสร้างทางสังคมและความรู้คือความเข้าใจร่วมกัน (intersubjective) เป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในโลก
แฮรารี่กล่าวว่า แม้ว่าเรื่องที่เขาเขียนอาจจะเป็นเรื่องพื้น ๆ สำหรับเขา แต่ที่มันกลายเป็นที่นิยม นั่นอาจจะหมายความว่ามีการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างชุมชนวิทยาศาสตร์และข้อมูลส่วนใหญ่ที่เผยแพร่สู่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการรู้และยอมรับมาหลายปี แต่มันก็ยังคงเป็นข่าวใหญ่สำหรับสาธารณชนทั่วไป
ประเด็นหนึ่งที่ชุมชนวิทยาศาสตร์ได้สื่อสารอย่างชัดเจนคือขนาดของ “วิกฤตสภาพภูมิอากาศ” และเรื่องราวที่พวกเขาและคนอื่นๆ อีกจำนวนมากกำลังเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเรื่องเร่งด่วน ทำไมคุณถึงคิดว่าเรายังขาดเจตจำนงทางการเมืองทั่วโลกในการแก้ไขปัญหาในลักษณะที่เท่ากับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น การมีศัตรูที่เป็นมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มีเรื่องราวที่ติดหู
แต่ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คุณทำให้ศัตรูที่เป็นมนุษย์เป็นเรื่องราวที่ติดหูไม่ได้ จิตใจของเราไม่ได้มีวิวัฒนาการมาเพื่อเรื่องราวประเภทนี้ เมื่อเราพัฒนามาเป็นนักล่า – ผู้ร่วมกันล่า เราไม่เคยมีกรณีที่เราต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องราวที่น่าสนใจ
เราสนใจเรื่องที่ “บางคน” ในพวกเรากำลังสมคบคิดที่จะฆ่าเรา ดังนั้นเราจึงมีปัญหาเรื่องการเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่แฮรารี่กล่าวว่า “ข่าวดีก็คือมันไม่สายเกินไปหรือยากเกินไปที่จะเอาชนะ”
จากรายงานที่ดีที่สุดที่เขาเคยอ่านมาก็คือ หากตอนนี้เราเริ่มลงทุน 2% ของ G.D.P. ประจำปีทั่วโลก ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และโครงสร้างขั้นพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพียงแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอสำหรับการป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง
แม้จะเป็นเพียง ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ของ G.D.P. ทั่วโลก แต่มันก็เป็นเงินจำนวนมากพอที่จะปกป้องโลกจากหายนะครั้งรุนแรง
แฮรารี่กล่าวว่า มันจะเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แน่ ๆ เพราะว่า ถ้ามันต้องใช้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เราคงต้องลืมมันไป มันสายเกินไปแล้ว แต่สำหรับ 2 เปอร์เซ็นต์ งานของนักการเมืองโดยเฉลี่ยคือกะ 2 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณจากที่นี่ไปที่นั่น เรารู้วิธีการทำ เราต้องอยู่ห่างจากความคิดที่กั้นเรา อย่างคำว่าสายเกินไปแล้วและโลกกำลังจะถึงจุดจบ และก้าวไปสู่สิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ แค่ 2 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณ แค่นั้นแหละ
เพียง 2 เปอร์เซ็น เพื่อสิ่งเหล่านี้ มันเป็นความหวังของมนุษยชาติ ไม่ใช่ว่าเราต้องเปลี่ยนเศรษฐกิจทั้งระบบและกลับไปอยู่ในถ้ำ เราแค่ต้องเปลี่ยน 2 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือทั้งหมด
แฮรารี่คิดว่าหากดูการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม อย่างการเคลื่อนไหวของ Greta Thunberg และขบวนการเยาวชน เราจะเห็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวกำลังบอกกับโลก คุณกำลังเสียสละคนอีกรุ่นบนแท่นบูชาแห่งความโลภและขาดความรับผิดชอบของคนอีกรุ่น
นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการบอกว่า มันมีหมอก อย่าง CO2 ในชั้นบรรยากาศอีกต่อไป แต่มันเป็นละครมนุษย์เรื่องคนรุ่นเก่าที่กำลังเอาเปรียบคนรุ่นถัดไป
NY TIMES ถามแฮรารี่ว่า เขาคิดยังไงกับความจริงที่ว่างานของเขาเป็นที่นิยมใน Silicon Valley
แฮรารี่กล่าวว่า คนเหล่านี้คือคนที่งานของพวกเขามีนัยยะที่อันตรายมาก (dangerous implications) และถึงแม้ว่าเขาจะวิพากษ์วิจารณ์แนวทางปฏิบัติบางอย่างของพวกเขา และนำเสนอแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ว่าเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ แต่งานที่ Silicon Valley ก็อาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นกับดาวเคราะห์ดวงนี้
สำหรับแฮรารี่แล้วเขาคิดว่าอนาคตของมนุษยชาติอยู่ในมือของคนกลุ่มนี้ และเพื่อเป็นการใจดีต่อบุคคลเหล่านี้บ้าง แฮรารี่ไม่คิดว่างานของพวกเขาจะชั่วร้ายอย่างแน่นอน บางอย่างที่พวกเขากำลังทำนั้นดีแน่ ๆ เขาได้เจอกับสามีของเขาใน dating apps ที่อิสราเอล เขารู้สึกขอบคุณที่มีสิ่งนี้เพราะในฐานะที่เขาเป็นเกย์ในเมืองเล็ก ๆ ในจังหวัดหนึ่งของอิสราเอล คุณจะพบปะกับหนุ่ม ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร สิ่งที่แฮรารี่จะพูดเกี่ยวกับ Silicon Valley ก็คือพวกเขาอาจไม่เข้าใจผลกระทบมหาศาลที่พวกเขาสร้างได้ พวกเขาอาจตั้งเป้าหมายที่จะเปลี่ยนโลกด้วยซึ้งในเทคโนโลยี ไม่ใช่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สังคมมนุษย์ และจิตวิทยา แต่ในที่สุด เขาในฐานะนักประวัติศาสตร์ เขาสามารถเขียนตำราที่รวบรวมเรื่องราวความคิดเกี่ยวกับชีวิตของตนเองได้
บรรดาผู้ที่เขียนพันธสัญญาใหม่ (New Testament) หากพวกเขาเห็นสิ่งที่ศาลศาสนา (Inquisition) และพวกนักรบครูเสดทำลงไป เพราะถ้อยคำที่ว่า “turning the other cheek and the meek will inherit the earth” ในไบเบิล คงจะกรอกตาอยู่ในหลุมศพของพวกเขา แต่นั่นเป็นประวัติศาสตร์ คุณจะทำอะไรได้?
แฮรารี่ ยกตัวอย่างสองตัวอย่าง ทั้งใหญ่และเล็ก เขาเล่าว่าเมื่อเขาเขียน “Homo Deus” ความสนใจหลักของเขาคือ เขาคิดว่าเสรีนิยมและมนุษยนิยมเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดที่มนุษยชาติเคยคิดขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้เราต้องไปให้ไกลกว่านั้น เนื่องจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยีของศตวรรษที่ 21 ซึ่งทำให้เกิดคำถามถึงแนวคิดและข้อสันนิษฐานพื้นฐานที่สุดของมนุษยนิยมและลัทธิเสรีนิยม แต่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เขาได้ถอยห่างจากพรมแดนนั้นเนื่องจากการพัฒนาทางการเมืองในหลายส่วนของโลก
อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้?
แฮรารี่ตอบว่าเขาก็ไม่แน่ใจ เขาไม่สามารถคิดอะไรไปได้มากไปกว่าสิ่งที่อยู่ใน “Homo Deus” เขาได้สำรวจวิธีที่การปฏิวัติข้อมูลทำให้มนุษย์แตกสลาย ซึ่งเป็นรากฐานของมนุษยนิยมและลัทธิเสรีนิยม เท่าที่เขาเห็น รากฐานใหม่กลายเป็นกระแสของข้อมูลข่าวสารในโลก จนถึงระดับที่เข้าใจถึงสิ่งที่เป็นมนุษย์ — มนุษย์ไม่ใช่ตัวตนมหัศจรรย์ ผู้ซึ่งเป็นอิสระและมีเจตจำนงเสรีต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับโลก มนุษย์ก็เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพียงแค่มีระบบประมวลผลข้อมูลที่ส่งต่อกัน มนุษย์ไม่มีสินทรัพย์ถาวร ความหมายในแง่การเมืองคืออะไร? ในแง่สังคม? เขาก็ไม่แน่ใจ แต่นั่นคือสิ่งที่เขาจะกระตือรือร้นที่จะสำรวจ ต่อไป
ตัวอย่างเล็ก ๆ ที่เขาพูดถึงก่อนหน้า ก็คือ เขากำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับคนข้ามเพศและคนที่ไม่ใช่ไบนารี และอื่นๆ หนังสือเล่มก่อนที่เขาอ่านเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ในยุคแรก มันทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกัน การโต้เถียงกันมากมายเกี่ยวกับเพศในตอนนี้ มันเหมือนกับที่คริสเตียนยุคแรกเหล่าโต้เถียงกันถึงธรรมชาติของพระคริสต์และตรีเอกานุภาพ
พระคริสต์ทรงเป็นบุคคลที่ไม่ใช่ไบนารีหรือไม่? พระคริสต์เป็นพระเจ้าหรือมนุษย์? มันสะท้อนถึงการโต้เถียงมากมายที่เรามีในตอนนี้เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และบุคคล เราเป็นทั้งคู่ได้ไหม? เราเป็นหนึ่งเดียวได้ไหม? และถ้าคุณไม่ได้คิดเหมือนกับคนอื่น แสดงว่าคุณเป็นคนนอกรีตหรือเปล่า แฮรารี่กล่าวว่ากลุ่มคนที่ชนะในการโต้เถียงครั้งก่อนก็คือ คริสเตียนยุคแรกและเหล่าสังฆราช
เราเคยมีนักบุญ Simeon Stylites ที่ยืนอยู่บนเสาเพื่อบำเพ็ญพรตอยู่หลายปี สิ่งนี้ทำให้พวกเขาคิดถึงลิมิตของร่างกายมนุษย์ และตอนนี้เรามีคำถามเพิ่มเกี่ยวกับปัญหาทางเพศว่าเราจะทำอะไรกับร่างกายได้บ้าง เราสามารถเปลี่ยนแปลงแบบนั้นแบบนี้ และสิ่งเหล่านี้มีความแตกต่างกันอย่างมาก แต่แฮรารี่กล่าวว่าในสมองของเริ่มมีการสนทนาคล้ายกับศาสนาคริสต์ในยุคแรก ในเรื่องการโต้เถียงเรื่องเพศในปัจจุบัน
โชคดีที่ประวัติศาสตร์แสดงให้เราเห็นว่าการโต้เถียงกันในศาสนาคริสต์ได้รับการตกลงกันอย่างฉันมิตร ประเด็นก็คือ ณ เวลาที่นิกายคริสเตียนเล็ก ๆ เหล่านี้โต้เถียงกันนั้นไม่มีนัยสำคัญ!
ภายหลังการโต้เถียงเกี่ยวกับหลักคำสอนเหล่านี้ การเป็นผู้ชนะและผู้แพ้มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาประวัติศาสตร์ของมนุษย์
และความคิดที่จริงจังกว่านั้น แฮรารี่คิดว่าเหตุผลที่ทำให้เกิดกระแสทางการเมืองเกี่ยวกับการอภิปรายในเรื่องคนข้ามเพศและคนที่ไม่ใช่ไบนารี เป็นเพราะว่าโดยจิตใต้สำนึกของเราแล้ว การถกเถียงกันในอนาคตควรเกี่ยวกับสิ่งที่เราสามารถทำได้อย่าง ร่างกายและสมองของมนุษย์
เราจะปรับโครงสร้างใหม่ได้อย่างไร เราจะเปลี่ยนพวกเขาได้อย่างไร? ซึ่งคำถามเหล่านี้ก็คือเรื่องเพศ คุณสามารถชี้ได้ว่าใครเป็นพวกหัวรุนแรงและอ่อนไหว เมื่อคุณพูดถึงเรื่องเพศหรือเพศภาวะ แต่แฮรารี่โดยจิตใต้สำนึกของคน เรารู้ดีว่านี่เป็นการถกเถียงครั้งแรกเกี่ยวกับการข้ามเพศ (transhumanism) เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยเทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนร่างกายมนุษย์ สมอง และจิตใจ แฮรารี่กล่าวว่า นี่คงเป็นเหตุที่ทำให้การดีเบตดุเดือดเหลือเกิน
Transhumanism เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ มี transhumanism หลายประเภท แต่การตีความอย่างหนึ่งก็คือ transhumanism เป็นการเติมเต็มศักยภาพที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณเข้าใจความเป็นมนุษย์อย่างไร
นี่เป็นคำถามที่เราต้องติดตาม และไม่ใช่คำถามที่มีคำตอบง่ายๆ
ที่มา : https://www.nytimes.com/interactive/2021/11/08/magazine/yuval-noah-harari-interview.html?utm_source=pocket&utm_medium=email&utm_campaign=pockethits