การกลับมาของลุงสรยุทธ : เสียงเล่าข่าวที่คุ้นเคย
ปัจจุบันโลกของเราเคลื่อนย้ายไปสู่สังคม Social Network เทคโนโลยีในมือที่เปลี่ยนไปก็พลอยทำให้ไลฟ์สไตล์ของคนเสพสื่อเปลี่ยนตาม จากที่แต่ก่อนตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องควานหารีโมตมาเปิดโทรทัศน์เพื่ออัพเดทข่าวสาร “ทักทายกับเสียงนุ่มๆของนักข่าวหรือเพลงโฆษณา” แต่วันนี้เมื่อเราลืมตาขึ้นมาเจ้านกสีฟ้าหรือเจ้าตัวเอฟสีน้ำเงินในเครื่องรับสัญญาณอัตโนมัติก็เป็นสิ่งแรกที่เราหยิบขึ้น เราลืมเจ้าตู้ส่งสัญญาณสีเหลี่ยมพูดมากตัวนั้นไปเลย
จนกระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็มาปรากฎที่หน้าฟีด เสียงนี้ทำให้ใครหลายคนหัวใจเต้นแรง บางคนนอนอยู่ก็ต้องสะดุ้งมาควานหาชุดนักเรียนทั้งๆที่ปัจจุบันก็น่าจะเข้าสู่วัยทำงาน หรือวัยมหาลัยตอนปลายกันหมดแล้ว ใช่แล้ว ผู้ชายคนที่กำลังกล่าวถึงคือ “คุณลุงสรยุทธ”
การรายงานข่าวหรือละครทีวีที่ออนแอร์ระหว่างวันแทบไม่เป็นที่พูดถึงในโลกของโซเชียล ยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 อย่างนี้แล้ว มนุษย์เราจะไม่เปิดทีวีให้เปลืองค่าไฟ เมื่อในมือมียูทูป เน็ตฟลิกซ์ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ แต่การกลับมาของคุณสรยุทธทำให้แทบจะทุกคนต้องไปหารีโมตทีวีมาเปิดดู ใครๆก็อยากจะฟัง
“เสียงของคุณลุงสรยุทธ เสียงที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี”
ที่มาที่ไปของลุงสรยุทธกับบทบาททางจอทีวี
ลุงสรยุทธ มีชื่อจริงว่า “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2509 ปัจจุบันอายุ 55 ปี ในอดีต สรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นนักข่าวที่มีชื่อเสียงและถือได้ว่าเป็นนักข่าวแถวหน้าของเมืองไทย ประวัติการศึกษาของคุณลุงสรยุทธเรียกได้ว่าไม่ธรรมดา เขาจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากนิเทศศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากนั้นก็มาทำงานเป็น นักข่าวประจำรัฐสภา ให้กับหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และต่อมาก็เป็นนักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเมืองและเป็นหัวหน้าข่าว บก. ข่าว จนได้มาจัดรายการวิเคราะห์ข่าว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นบทบาทของการเป็นผู้ประกาศข่าวผ่านจอโทรทัศน์ โดยคุณลุงสรยุทธยังเป็นพิธีกรรุ่นแรกของเนชั่นอีกด้วย จากนั้นคุณลุงสรยุทธก็จัดรายการโทรทัศน์มาเรื่อยๆ เช่น คมชัดลึก เก็บตกจากเนชั่น คุยคุ้ยข่าว และผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับคุณลุงสรยุทธที่สุดก็คือ รายการเรื่องเล่าเช้านี้
จุดเริ่มต้นแห่งจุดพลิกผัน
ว่ากันว่าคุณลุงสรยุทธเป็นนักข่าวที่ห้าวมากๆคนหนึ่ง คุณลุงสรยุทธโด่งดังมากและก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากเช่นกัน โดยคุณลุงสรยุทธมีวิธีการนำเสนอข่าวที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ อย่างหนึ่งก็คือการสอดแทรกความเห็นของตัวเองลงไปหลังจากเล่าข่าว ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์และประนามว่านี่เป็นการรายงานข่าวที่ไม่ดี ไม่รักษาความเป็นกลางและสอดแทรกสาระทัศนะคติของตัวเองลงไป แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้คุณลุงสรยุทธต้องห่างหายจากเราไปก็คือเรื่องของคดี “ทุจริต”
คดีของคุณลุงสรยุทธ เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ.2549 จากคดีความเรื่องบริษัทไร่ส้ม ซึ่งเป็นบริษัทรับจ้างผลิตสื่อยักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการ คุยคุ้ยข่าว ที่คุณลุงเคยจัด ต่อมาในปี 2559 ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษาจำคุก สรยุทธและพวก 13 ปี 4 เดือน ทำให้ในเวลาต่อมาเขาต้องยุติบทบาทของตัวเองทางจอทีวี ในวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2559 ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าใครติดตามข่าวของคุณสรยุทธช่วงนั้นก็จะทราบว่าช่วงนั้นการประกาศข่าวจากทีวีก็เริ่มเสื่อมความนิยมแล้ว ตอนนั้นสรยุทธก็ยังไม่ได้ไปไหน เราก็ยังเห็นเขาผ่านทาง Instargram ส่วนตัว

ต่อมาแกก็หายไปหลังจากที่ศาลมีการกำหนดโทษตามคำพิพากษา 6 ปี 24 เดือน ซึ่งเป็นการสิ้นสุดคดีความ โดยระหว่างที่คุณลุงสรยุทธอยู่ในเรือนจำ เขาก็ได้จัดรายการข่าวในชื่อ “เรื่องเล่าชาวเรือนจำ” และ มีความประพฤติดีเยี่ยมทำให้เขาหลักเกณฑ์การอภัยโทษในปี 2563 ทั้ง 2 ครั้ง ทำให้แต่เดิมที่คุณลุงสรยุทธจะพ้นโทษในวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2566 ก็ได้ ลดโทษลงมาและเมื่อหักวันต้องโทษจำคุกมาแล้ว จึงเหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 2 ปี 4 เดือน 14 วัน และในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2564 คุณลุงสรยุทธก็ได้รับการพักโทษและออกมาจากเรือนจำ โดยในเวลาต่อมาเราก็เห็นคุณลุงสรยุทธกลับมาอ่านข่าวให้เราฟังในช่องเดิม
การกลับมาของลุงสรยุทธในยุคที่คนฟัง Club House มากกว่าเปิด TV นับได้ว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้
สรยุทธกลับมาแล้ว
ก่อนหน้านี้ในความเห็นของผู้เขียนที่ลืมไปแล้วว่าช่องสามต้องกดอะไรตรงไหน ก็คิดว่า Free TV บ้านเราน่ะได้ตายไปแล้ว แต่การกลับมาของนักข่าวในตำนานอย่างลุงสรยุทธกลับดึงความสนใจของผู้เขียนได้ หลังจากที่ได้เห็นว่าคุณลุงสรยุทธกลับมาอ่านข่าว ผู้เขียนก็ได้ขบคิดและอยากจะติดตามว่าการเล่าข่าวภายใต้การนำของคุณลุงสรยุทธจะไปในทิศทางไหน
ในวงการคอนเทนน์มีคำกล่าวหนึ่งที่กล่าวว่า “Content Is King” ในยุคหนึ่งคุณลุงสรยุทธเป็นผู้ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ชมได้เป็นอย่างดี อาจด้วยความที่เขาอยู่ในสื่อกระแสหลัก กระแสเดียวในวันที่เราไม่สามารถจะเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างได้ง่ายๆตามต้องการใจเช่นวันนี้ เนื้อหาของรายการคุณลุงสรยุทธคือที่สุด ด้วยความหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละวัน ต่อให้เราไม่สนใจเรื่องไหนๆ วันหนึ่งก็จะมีเรื่องที่เราสนใจโผล่ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการปรากฎตัวของศิลปินระดับโลกที่จะมาเปิดการแสดง หรือได้ดูภาพแพนด้าน้อยขวัญใจคนไทย เรื่องเหตุบ้านการเมืองลุงสรยุทธก็ไม่เคยละเลย ประเด็นสำคัญใหญ่ๆอย่างน้ำท่วม ไฟไหม้ เราก็จะเห็นภาพผู้ประกาศข่าวคนนี้ไปรายงานข่าวและเปิดบริจาคเพื่อบรรเทาสถานการณ์ ช่วงไหนที่รัฐบาลทำงานได้ไม่ดี ประชาชนก็จะเอ่ยถึงผู้ประกาศข่าวคนนี้ ในฐานะ “ชายผู้ยื่นมือเข้ามาแก้ปัญหาเร็วกว่ารัฐบาล”

เมื่อเห็น #สรยุทธ ถูกดันขึ้นแท็กอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ภาพความทรงจำวันวานก็หวนกลับมา อย่างไรก็ตาม ประชาชาติ ได้ทำข่าวไว้ว่าลุงสรยุทธประเดิมอ่านข่าวครั้งแรกในรอบ 5 ปี ผ่านรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ เมื่อเวลา 10.25-12.15 น. โดยได้รับกระแสที่ดีจากกลุ่มผู้ชมเฉพาะช่องทางออนไลน์มีแฟนข่าวเข้าชมถ่ายทอดสดรายการทะลุหลักแสนคน โดยแบ่งเป็นทางเฟซบุ๊กแฟนเพจเรื่องเล่าเช้านี้กว่า 16,000 คน และผ่านแอปพลิเคชั่น CH3Plus อีกกว่า 97,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่เยอะในวันที่ปัจจุบันวงการการอ่านข่าวกำลังซบเซาอย่างหนัก ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนจะยังไม่ลืมและคิดถึงเขาขนาดนั้น ในวันนั้น #สรยุทธ คือ Topic ที่ร้อนแรงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกลับมาอ่านข่าวของเขาและประเด็นข่าวที่เขาเล่น

คุณลุงสรยุทธเปิดตัวด้วยการทักทายตามประสาคนไม่ได้อ่านข่าวมานาน ต่อด้วยการอ่านข่าวทั่วๆไปที่เราเคยฟัง ก่อนจะหยิบจับประเด็นจากทวิตเตอร์ซึ่งเป็นประเด็นที่สำนักข่าวใหญ่ไม่ค่อยกล้าเล่าขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหนักๆอย่าง กรณีของเพนกวิน การฉีดวัคซีนของบุคลากรทางการแพทย์ ข่าวการวิจารณ์การลงทะเบียนฉีดวัคซีนที่ยุ่งยาก หรือแม้กระทั่งปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ตั้งกลุ่ม “ย้ายประเทศกันเถอะ” ว่ากันว่าการนำเสนอข่าวในทุกแง่มุมแบบนี้ คือเหตุผลที่ว่าทำไมผ่านมากว่า 5 ปี ประเทศเราถึงหาคนแทนเขาไม่ได้