บันไดมีไว้เดินทีละขั้นในโลกที่ขั้นบันไดแต่ละบ้านไม่เท่ากัน
เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้คุยกับลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งในเรื่องของการใช้ชีวิตที่เราอยากจะก้าวกระโดดไปสู่เป้าหมายให้ไวกว่านี้ พี่สาวคนนั้นตอบกลับมาว่า
หลังจากที่ได้เห็นประโยคนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าความคาดหวังในชีวิตของเรา โซเชียลมีเดียและคนรอบตัวที่มีอิทธิพลต่อตัวเราถึงขั้นที่อาจทำให้เราเดินข้ามขั้นบันไดหรือเปล่า และที่จริงแล้ว เรื่องบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องรีบไปให้ถึงตรงนั้นก็ได้ หากว่าเราอยู่ในลู่ที่ถูก ปลายทางย่อมไม่ใช่อะไรที่เกินคาดหวัง
“ใจเย็นๆ บ้างนะวัยรุ่นคือเสียงที่สะท้อนเข้ามาในหัวตอนนั้น”
แต่ตกเย็นมาผู้เขียนได้มีโอกาสได้คุยกับรุ่นน้องอีกคน ซึ่งรุ่นน้องคนนี้เขาเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เราก็เล่าให้น้องฟังเหมือนกันเลย
“อยากเก็บเงินแล้วเรียน ป.โท แล้วก็เขียนหนังสือที่เป็นอะไรที่คลาสสิคสักเล่ม”
“อ่าหะ…”
“แต่ทีนี้พอมาคิดดูดีๆ พี่ก็พึ่งยีบสอง ไม่รู้ว่าจะต้องรีบไปทำไม แต่รู้สึกอยากให้ชีวิตถึงเป้าหมายไวๆ เมื่อเช้าคุยกับพี่สาวเขาก็บอกว่า บันไดเขามีไว้ให้ก้าวทีละขั้น คงต้องใจเย็นป่ะ”
ผู้เขียนพูดขณะที่กำลังอยู่ในร้านซักผ้า 24 ชั่วโมง ผ้าที่หมุนวนทำให้ผู้เขียนรู้สึกผ่อนคลายและเริ่มจะยอมโอบรับแนวคิด จนในที่สุดน้อง’ถาปัต พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาซึ่งเปลี่ยนแนวคิดผู้เขียนไปตลอดกาล
“พี่รู้ป่ะว่าขั้นบันไดเอเชียกับยุโรปมันต่างกัน ส่วนหนึ่งเพราะคนเอเชียโตเร็วขึ้น ถ้าเราเดินทีละขั้นบนบันไดของเอเชียเราจะเหนื่อย เพราะมันชันและซี่ถี่มาก แต่ของยุโรปขั้นจะกว้างกว่า”
ผู้เขียนหันขวับ นี่ผู้เขียนกำลังจะสลับรับฟังความจริงอะไร เหมือนพึ่งถูกบดขยี้ความทะเยอทะยาน ก่อนจะถูกดึงขึ้นมาอีกครั้งว่าที่เราสับสนและเหนื่อย เป็นเพราะวิถีทางของเรามันยากเกินไปหรือเปล่า ความแตกต่างของขั้นบันไดก็บอกวิถีชีวิตและการไปถึงเป้าหมายของเราได้
“มันเป็นยังไงนะ?”
จากเรื่องราวตอนนั้นน้องก็เลยวาดรูปแบบบันไดมา … โดยสรุปแล้วก็คือถ้าเราจะสร้างบ้านสักหลังสถาปนิก เขาจะต้องคำนึงถึงสรีระของคนอยู่ แม้กระทั่งการออกแบบบันไดก็เช่นกัน
แต่ว่าถ้าบันไดมีหลายแบบ…และการจะขึ้นไปข้างบนมันก็ใช้วิธีอื่นได้ อย่างเช่นการใช้ลิฟต์ เราขึ้นลิฟต์ได้นะ
“หรือว่าการถูกหวยจะเป็นการขึ้นลิฟต์”
ถ้าเรามองว่าการดำเนินชีวิตแบบปกติคือการขึ้นบันได การถูกหวยหรือฟลุ๊คประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างขึ้นมาก็คงเป็นการขึ้นลิฟต์ ลิฟต์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ซับซ้อนใช้ทั้งความรู้วิศวกรรมและสถาปัตกรรม ถ้าเราจะทำเองก็คงต้องเก่งมากๆหรือมีเครื่องไม้เครื่องมือที่พร้อม แต่ถ้ามีคนทำลิฟต์ไว้ให้เราแล้วให้เราขึ้น มันคงจะง่ายกว่า บางคนก็เกิดมาโดยที่มีลิฟต์อยู่ในบ้านการจะไปถึงเป้าหมายก็เป็นเพียงแค่การกดปุ่ม แต่บางคนก็ต้องขึ้นบันได หรือสร้างบันได ซึ่งบันไดแต่ละที่ก็ทำไม่เหมือนกันอีก
การได้ขบคิดเรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนคิดว่า บนโลกนี้มีสิ่งประดิษฐ์มากมายที่จะทำให้เราขึ้นไปสู่ที่สูง ก็คงจะเหมือนการไปถึงเป้าหมายของคนเราที่ต่างคนก็จะต่างมีวิธีไปถึงเป้าหมายที่ต่างกัน เราทุกคนล้วนมีเหตุผลที่จะขึ้นไปสู่ที่สูงนั้น สูงแค่ไหนก็แล้วแต่ใจของเราอีกที
- บางคนก็เทียบว่าอายุเป็นเหมือนขั้นบันได
ในตอนที่เราเป็นเด็ก เรามักจะมองคนที่โตกว่าและหวังว่าจะได้โตสักทีในสักวันหนึ่ง คล้ายกับการที่เราเดินอยู่บนพื้นเรียบๆ และมองเห็นตึกหรือภูเขา เราก็อยากจะลองขึ้นไปเดินบนพื้นที่สูงตรงนั้น ตอนนี้เราอาจจะเดินขึ้นบันได้มาแล้ว 22 ขั้น และเราจะต้องขึ้นไปสู่ขั้นที่ 23 ในไม่ช้า เราไม่รู้หรอกว่าชั้นนั้นจะมีชั้นต่อไปไหม ซี่มันจะสั่นหรือกว้าง เราแค่ต้องขึ้นไป เผื่อจะพบว่าขั้นบันไดนั้นมันพาเราไปสู่เป้าหมาย จุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด จนที่สุดแล้วตอนนั้นเราอาจต้องคิดว่ามันคุ้มไหมที่เราเดินขึ้นมาทั้งที
ท้องฟ้าที่ถ่ายจากอพาร์ตเม้นชั้น 4 กับรูปท้องฟ้าที่ถ่ายจากยอดดอยสุเทพก็มีความสวยงามที่ต่างกัน แต่ที่สุดแล้วคุณค่าของการที่เราขึ้นไปสู่ที่สูงนั้นคืออะไรกันแน่
ความหมายของบันได โดยนัยแล้วเป็นอะไรสำหรับเรา และถ้าสังคมคือบันได บันไดที่ขั้นต่างกันเราจะอยู่กับมันยังไง จะสร้างบันไดขึ้นมาใหม่ ทุบทำลายหรือว่าย่ำอยู่กับบันไดทรงเดิม?
ในส่วนท้ายนี้อยากบอกว่าทุกวันที่ขึ้นบันได ขึ้น-ลงชิดขวา และการเดินบันไดทีละขั้นไม่เล่นมือถือระหว่างเดินขึ้นบันไดจะทำให้ทุกคนปลอดภัยและไม่เกิดอุบัติเหตุ