สร้างตัวเองให้ Active ทั้งกายและใจ
ช่วงนี้อยากขี้เกียจจังเลย… แต่กำลังจะสอบนะ อีกไม่กี่วันต้องส่งโปรเจ็คนะ ใดๆก็คือเราจะโทษบรรยากาศฟ้าฝนว่าเป็นใจให้เราขี้เกียจก็ไม่ได้ วันนี้เราก็เลยมาแชร์วิธีสู้กับความขี้เกียจที่ทำแล้วเห็นผลจริงๆ โดยเราจะแบ่งเป็นการเติมพลังให้ร่างกายและเติมหลังให้จิตใจ
เติมพลังให้ร่างกาย
1.ออกกำลังกายหลังเลิกงาน
เราเคยคิดมาตลอดว่าการออกกำลังกายเป็นการ “ใช้แรง” คือการทำให้ตัวเองเหนื่อย แต่ไม่ใช่เลยการออกกำลังกายแม้จะแค่วันละ 15 นาที ตอนเย็นหลังเลิกงานสามารถช่วยให้เรากระปรี้กระเป่าได้ เช้าที่ตื่นมาหลังจากออกกำลังกายตอนเย็นเป็นเช้าที่ตื่นได้เต็มตา และก็ไม่อ่อนเพลียสักนิด(ทั้งที่เมื่อเย็นเหงื่อแตกเป็นน้ำตก)
นอกจากนี้ออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีพลังงานตลอดวัน ผลการวิจัยยังพบว่าการออกอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ จะช่วยลดความเครียด และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายทำงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.ดื่มน้ำระหว่างวัน
ร่างกายของมนุษย์มีน้ำอยู่ประมาณ 60-70% ในแต่ละวันเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว(2 ลิตร) เพื่อชดเชยปริมาณน้ำที่ร่างกายขับออกมา น้ำเป็นสิ่งที่มีอยู่ในร่างกายเรามากที่สุด หากเกิดภาวะขาดน้ำจะทำให้การลำเลียงออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ช้าลง และทำให้เราขี้เกียจ
3.ปรับมื้ออาหาร
สมองของเราต้องการสารอาหารเพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานตลอดเวลา(podpad.com) เพราะอย่างนั้นแล้วการแบ่งรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อยเพื่อให้ร่างกายค่อยๆดูดซึมเข้ากระแสเลือด เช่น ถั่ว ธัญพืช ผักที่มีเส้นใยสูง รวมทั้งอาหารพวกโปรตีนและไขมันจะทำให้รู้สึกอิ่มนานและมีเรี่ยวแรงมากกว่าการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต(แป้ง)
4.นอนหลับอย่างเพียงพอ
การนอนเป็นดั่งการ Reset ร่างกาย เป็นช่วงที่ร่างกายของเราจะได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้ร่างกายได้เผาผลาญ การได้นอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยทำให้สมองปลอดโปร่งสามารถเรียนรู้และเพิ่มความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆ
เติมพลังให้จิตใจ
1.เขียน Morning Page
การเขียนระบายหรือทบทวนเรื่องต่างๆที่ผ่านเข้ามาในหัวของเราในตอนเช้าประมาณ 750 คำต่อวัน เป็นเหมือนการออกกำลังสมอง การเขียนจะทำให้เรามีสุขภาพจิตใจที่ดีขึ้น จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตในหลายๆด้านได้ ทั้งด้านการจดจำ สมาธิ อีกทั้งในตอนเช้าจะเป็นช่วงที่เราสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้ดีที่สุด
2.ออกไปเดิน
การเดินจะทำให้เราได้รับวิตามินดีผ่านผิวหนัง โดยประโยชน์ของวิตามินดีก็คือป้องกันเราจากโรคซึมเศร้าและเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย อีกทั้งการเดินยังสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ถึงร้อยละ 27
การเดินจะทำให้เราได้ไปสำรวจวิวทิวทัศน์ พาเราไปเจอผู้คนหรือบรรยากาศใหม่ๆช่วยให้เราผ่อนคลายเรื่องที่เครียด และหลังจากเดินแล้วร่างกายเราจะตื่นตัวทำให้ความขี้เกียจสลายไปได้
3.นั่งสมาธิ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่เราขี้เกียจส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าเรามีความเครียดและความกังวลรบกวนจิตใจ หลายครั้งเราไม่อาจจะเขยิบตัวไปตามใจของเราได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการตักอาหาร การดื่มน้ำ ออกกำลังกายหรือเขียน การนั่งสมาธิจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่เราจะเริ่มใส่ใจตัวเองก่อนที่ความขี้เกียจจะเข้ามาครอบงำเราไปทั้งหมด
ขั้นแรกเราควรหาสถานที่ที่สงบและไม่มีสิ่งรบกวน นั่งหรือนอนท่าที่เราสบายจากนั้นกำหนดลมหายใจเข้าออก ช้าๆ ปล่อยวางตัวเองจากเรื่องที่กำลังคิด รับรู้เพียงแค่ลมหายใจ การทำสมาธินอกจากจะเป็นการฝึกฝนจิตใจให้เกิดความสงบแล้ว ยังช่วยให้เราไม่ทรุดลงไปกับความเครียดด้วย
นี่คือวิธีการผ่อนคลายที่ทำให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นโดยที่ไม่ต้องใช้ตัวช่วยเสริม (คาเฟอีน) ใครมีวิธีผ่อนคลายความเครียดอย่างอื่นก็มาแชร์กันได้นะคะ 😀
อ้างอิง
https://www.filtervision.co.th/th/knowledge/13/
https://thematter.co/brief/morning-pages-and-creativity-booster/27512
https://www.megawecare.co.th/content/4922/vitamin-d-regularly-for-a-healthy-body