Sir. Ken Robinson – ความคิดสร้างสรรค์ที่สูญหายไประหว่างการเติบโต
เซอร์โรบินสัน เริ่มต้นการสนทนาโดยการให้เราลองสมมติว่า เราอยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ แล้วมีคนถามว่า “คุณทำงานอะไร” แล้วถ้าคุณตอบว่า “ทำงานด้านการศึกษา” เซอร์โรบินสันเล่าว่าคนส่วนใหญ่จะหน้าซีดลงทันที เพราะเขามองว่าคนในแวดวงการศึกษามีความน่าเกรงขาม แต่ถ้าถามเกี่ยวกับการศึกษาของพวกเขา เค้าจะตอบมาเป็นฉากๆ เพราะว่าการศึกษาเป็นเรื่องที่คนยึดถืออย่างลึกซึ้งเหมือนกับเรื่องของศาสนา ความร่ำรวย และอีกหลายๆ เรื่อง

มีแนวคิดอยู่ 3 รูปแบบ ในการสัมนาครั้งนี้
เรื่องแรก หลักฐานที่มหัศจรรย์เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ทุก ๆ คน ที่หลากหลายและมากมาย
เรื่องที่สอง ความคิดสร้างสรรค์สมารถพาพวกเราไปสู่ที่ที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันจะเป็นอย่างไร
การศึกษาคือสิ่งที่ จะนำเราไปสู่อนาคตที่คาดไม่ถึงเด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียนในปีนี้ (2006) จะเกษียณอายุในปี 2065 ไม่มีใครรู้เลย ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าโลกจะเป็นอย่างไร แต่พวกเรานั่นแหละที่จะต้องสอนเด็กๆ ให้รับมือกับสิ่งที่จะมาถึง ดังนั้น เซอร์โรบินสันจึงกล่าวว่า “ความยากที่จะคาดเดาอนาคตนั้น มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน”
และแนวคิดสุดท้าย แนวคิดที่สาม เด็กๆ มีความสามารถที่วิเศษ โดยเฉพาะความสามารถของพวกเขาในเรื่องของนวัตกรรม เด็ก ๆ ไม่ได้เก่งไปเสียทุกเรื่อง แต่สิ่งที่เด็ก ๆ เป็นก็คือ พวกเขามีความมุ่งมั่นเป็นเลิศ และสามารถหาความสามารถเฉพาะตัวของตนเองเจอ
เด็กทุกคนมีความสามารถเฉพาะตัว แต่พวกผู้ใหญ่กลับทำลายมันอย่างน่าเสียดาย ความคิดสร้างสรรค์นั้นมีความสำคัญในด้านการศึกษาพอ ๆ กับการรู้หนังสือ และเราควรที่จะให้ความสำคัญ กับมันอย่างเท่าเทียมกัน
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุ 6 ขวบ ไม่เคยให้ความสนใจกับสิ่งใด ๆ เลย นอกจากวิชาศิลปะ และสิ่งที่เด็กหญิงอายุ 6 ขวบวาด คือ “วาดรูปพระเจ้า” ทำให้คุณครูตั้งคำถามว่า “แต่ว่าไม่มีใครรู้นะจ๊ะว่าพระเจ้าหน้าตาเป็นยังไง” เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า “อีกแป๊บนึงพวกเค้าก็จะรู้แล้วล่ะค่ะ”
ต่อมาเป็นเรื่องของลูกชายอายุ 4 ขวบของเขาและการแสดงละคร เกี่ยวกับวันประสูติของพระเยซู ลูกชายของเขา ได้เล่นเป็น โจเซฟ เขาไม่มีบทพูด ในตอนที่กษัตริย์ 3 พระองค์เดินทางมาถึง พวกเขานำของขวัญมาด้วย ซึ่งได้แก่ ทองคำ กำยาน และ มดยอบ ต่อมาเกิดการผิดคิวกัน พวกเขายืนสลับที่กัน แล้วเด็กชายสามคนเดินเข้ามาบนเวที เด็กอายุ 4 ขวบ ที่มีผ้าเช็ดจานวางอยู่บนศีรษะ วางกล่องของขวัญลง เด็กชายคนแรกพูดว่า “ข้านำทองมาให้เจ้า” เด็กชายคนที่สองพูดว่า “ข้านำกำยาน มาให้เจ้า” แล้วเด็กชายคนสุดท้ายก็พูดว่า “อันนี้แฟรงค์ส่งมา” (ศัพท์ที่ควรพูดคือ Frankincense)
เซอร์โรบินสัน สรุปเรื่องทั้งสองนี้ไว้ว่าเรื่องของเด็กสองคนนี้มีสิ่งที่เหมือนกันคือ เด็กทุกคนกล้าที่จะลอง ถึงพวกเขาจะไม่รู้ พวกเขาก็จะลองดู เด็กไม่กลัวที่จะทำผิดพลาด
ทุกคนรู้ดีว่าถ้าหากเราไม่พร้อมยอมรับกับการกระทำที่ผิดพลาด เราจะไม่มีวันสร้างสรรค์สิ่งที่แปลกใหม่ขึ้นมาได้ แต่เมื่อเวลาที่เด็ก ๆ โตเป็นผู้ใหญ่ เด็กส่วนใหญ่สูญเสียความสามารถในการยอมรับความผิดพลาด การทำผิดกลายเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด
ปิกัสโซ่ (ศิลปินด้านการวาดภาพ) กล่าวไว้ว่า เด็กทุกคนเกิดมาเป็นศิลปิน ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรให้ความเป็นศิลปินนั้นยังคงอยู่เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ เซอร์โรบินสันกล่าวว่าเมื่อเราโตขึ้นความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโต และกลับมีลดน้อยลง ตามอายุที่มากขึ้น หรืออาจจะพูดได้ว่าการศึกษาทำให้เกิดความถดถอยด้านความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งมันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรล่ะ?

เซอร์โรบินสันได้เล่าว่า ในตอนที่เขาได้ย้ายจากอังกฤษมาอเมริกาทำให้เขาฉุกคิดบางอย่างได้ เซอร์โรบินสันกล่าวว่าเมื่อคุณได้ท่องเที่ยวมาแล้วทั่วโลก คุณจะพบว่า ระบบการศึกษา ทุกที่บนโลกนี้ มีการจัดระดับของวิชาต่าง ๆ แบบเดียวกัน ทุกที่เลย ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณอาจคิดว่ามันน่าจะต่างกัน แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ ระดับบนสุดก็คือ คณิตศาสตร์ และ ภาษา จากนั้นก็มนุษยศาสตร์ และล่างสุดคือศิลปะ เป็นแบบนี้ทั้งโลกเลยครับ และเป็นแบบนี้ในทุกระบบ
นอกจากนี้ข้างในสาขาศิลปะเอง ก็ยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ในสถานศึกษา จิตรกรรม และ ดนตรี จะมีสถานะที่สูงกว่า การแสดง และการเต้นรำ ไม่มีระบบการศึกษาใดเลยในโลกนี้ ที่เราสอนให้เด็กๆ เต้นรำ ทุกวัน เหมือนกับที่เราสอนคณิตศาสตร์ เซอร์โรบินสันตั้งคำถามว่า ทำไมกัน ทำไมเราถึงไม่ทำอย่างนั้น
เซอร์โรบินสันกล่าวว่า ถ้าหากคุณเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วได้เข้าไปเยี่ยมชมงานด้านการศึกษา เพื่อตอบคำถามว่า “การศึกษา มีไว้เพื่ออะไร?” คุณคงจะได้ข้อสรุปว่า วัตถุประสงค์ของการศึกษา ของทั้งโลกใบนี้ คือ การผลิตอาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะพวกเขาเหล่านั้นคือ คนที่อยู่อันดับต้นๆ ของการจัดอันดับโลก เซอร์โรบินสันกล่าวว่าเขาก็เคยเป็นคนกลุ่มนั้น และในที่สุดเขากล่าวว่าเราไม่ควรยกย่องพวกเขา ว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุด พวกเขาก็แค่สิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีความช่างคิด ช่างสงสัย จากประสบการณ์ของเขา มีบางอย่างน่าสนใจเกี่ยวกับบรรดาศาสตราจารย์เหล่านี้
เซอร์โรบินสันเล่าว่าศาตราจารย์บางคนก็ที่มีชีวิตอยู่แต่กับความคิดในหัวของตัวเอง พวกเขาไม่สนใจร่างกายของพวกเขาพวกเขามองว่าร่างกายนั้น ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้ศีรษะของพวกเขาเคลื่อนที่ไปยังสถานที่ต่างๆ ได้
ด้วยข้อมูลจากองค์กรยูเนสโก ภายใน 30 ปี จากนี้ ทั่วโลกจะมีคนจบการศึกษา มากกว่าจำนวนคนทั้งหมด ณ จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ จะมีคนจำนวนมากขึ้น แล้วก็มีสิ่งต่างๆ ที่เราได้พูดถึงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี และการเปลี่ยนรูปร่างของมัน ที่มีผลต่องาน และลักษณะโครงสร้างของประชากร และจำนวนของประชากรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ถึงตอนนั้น การมีปริญญาจะไ่ม่มีความหมายอีกต่อไป จริงไหม คนรุ่นใหม่ที่มีปริญญาตอนนี้ หลายคนกลับไปอยู่บ้าน แล้วยังคงเล่นวีดีโอเกมส์ เพราะคุณต้องมีปริญญาโท เพื่อขยับจากงานเก่าที่ต้องการคนจบปริญญาตรี แล้วต่อไปก็ต้องมีปริญญาเอก เพื่อให้ได้อีกงานหนึ่ง
มันเป็นกระบวนการเฟ้อของการศึกษา
และมันชี้ให้เป็นว่าโครงสร้างของการศึกษา ได้มีการเปลี่ยนแปลงแล้วในช่วงชีวิตของพวกเรา เราจึงจำเป็นต้องคิดใหม่ เกี่ยวกับมุมมองของเรา ในเรื่องของสติปัญญา
เรารู้อยู่ 3 อย่างเกี่ยวกับสติปัญญา สิ่งแรกคือมันหลากหลาย เรามองโลกในมุมมองที่หลากหลาย จากสิ่งที่เราได้ประสบ เราคิดจากสิ่งที่เห็น จากสิ่งที่ได้ยิน จากการลงมือทำ เราคิดในแบบที่เป็นนามธรรม เราคิดในการเคลื่อนไหว สิ่งที่สองสติปัญญามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สมองนั้นถูกออกแบบ ให้มีการประสานกันของเส้นประสาท ที่ได้หลอมรวมสมองทั้งสองส่วน เรียกว่า Corpus Collosum ซึ่งในผู้หญิงนั้นพบว่าจะมีความหนากว่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงทำงานได้หลากหลายกว่า
ลักษณะที่ 3 ของสติปัญญาก็คือมันมีความเป็นแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เซอร์โรบินสันได้เล่าถึง จิลเลี่ยน ลินน์ นักเต้นที่ออกแบบให้กับละครเวทีต่าง ๆ เขาเล่าว่า “เขาได้ถามจิลเลี่ยนว่าคุณมาเป็นนักเต้นได้อย่างไร” เธอตอบว่า ตอนที่เธอเป็นนักเรียน การเรียนของเธอย่ำแย่มาก ตอนนั้นก็ยุค 30s โรงเรียนของเธอ ส่งจดหมายถึงพ่อแม่ของเธอ ในนั้นเขียนว่า “เราคิดว่าจิลเลี่ยนมีปัญหาในการเรียนรู้” เธอไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดได้ เซอร์โรบินสันกล่าวว่าถ้าเป็นสมัยนี้เราคงเรียกอาการนี้ว่า เธอเป็นโรคสมาธิสั้น แต่ในยุค 1930s โรคสมาธิสั้นยังไม่ถูกค้นพบ มันก็เลยไม่ได้เป็นอาการ

จิลเลี่ยนก็ได้ไปพบผู้เชี่ยวชาญ กับคุณแม่ของเธอ เธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านหนึ่ง เธอนั่งทับมือเธอไว้ 20 นาที ในระหว่างที่ผู้เชี่ยวชาญคนนี้คุยกับคุณแม่ของเธอ เกี่ยวกับปัญหาของจิลเลี่ยนที่โรงเรียนว่า เธอรบกวนเด็กคนอื่นๆ เธอส่งการบ้านสายเสมอ ตอนนั้นเธอเป็นเด็กอายุ 8 ขวบเท่านั้น ในตอนสุดท้าย คุณหมอท่านนี้ก็เดินมานั่งข้างๆ จิลเลี่ยน แล้วเขาก็บอกกับจิลเลี่ยนว่า หมอต้องขอคุยกับคุณแม่ของเธอเป็นการส่วนตัว แล้วคุณหมอกับคุณแม่ของเธอก็เดินออกไปจากห้อง ก่อนที่คุณหมอจะออกไปจากห้อง เขาก็เปิดวิทยุ ที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา จากนั้นทั้งคุณหมอและแม่ก็คอยยืนดูจิลเลี่ยน และตั้งแต่เมื่อคุณหมอและคุณแม่ของเธอออกจากห้องไป จิลเลี่ยนบอกว่าเธอก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็เต้นไปตามเสียงเพลง คุณหมอกับคุณแม่ มองเธออยู่จากด้านนอกประมาณ 2-3 นาที คุณหมอก็หันไปบอกกับคุณแม่ของเธอว่า
คุณนายลินน์ครับ จิลเลี่ยนไม่ได้ป่วยหรอกครับ เธอเป็นนักเต้นต่างหาก ส่งเธอไป โรงเรียนสอนเต้นรำเถอะ
เซอร์โรบินสันเล่าว่าในตอนนั้น จิลเลี่ยนบอกว่า แม่ส่งเธอไปเรียนเต้น เธอบรรยายไม่ถูกเลยว่ามันมหัศจรรย์ขนาดไหน เมื่อได้เดินเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยคนที่เหมือนๆ กับเธอ คนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องขยับตัวตลอดเวลาเพื่อคิด ที่นั่นสอนเต้นบัลเล่ต์ แท๊บ แจ๊ส การเต้นสมัยใหม่ และแบบร่วมสมัย เธอได้ไปคัดเลือกตัวที่ Royal Ballet School แล้วเธอก็ได้เป็นนักเต้นเดี่ยว มีอาชีพที่แสนวิเศษ ที่คณะ Royal Ballet แล้วเธอก็เรียนจบ จาก The Royal Ballet School จากนั้น เธอก็เปิดบริษัทสอนเต้นรำของตัวเอง ชื่อ The Gillian Lynne Dance Company เธอได้เจอกับ แอนดรู ลอยด์ เว๊บเบอร์ (ผู้สร้าง Phantom of the Opera) เธอได้ร่วมงานกับเขา และมีส่วนร่วม กับละครเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในประประวัติศาสตร์ เธอได้ให้ความสุขกับคนนับล้าน เธอกลายเป็นมหาเศรษฐี
ถ้าเธอไม่ได้เจอคุณหมอคนนั้น เธออาจได้รับยา แล้วก็บอกให้เธออยู่นิ่งๆ สงบสติอารมณ์
เซอร์โรบินสันได้กล่าวไว้ว่า สิ่งเดียวที่เราสามารถฝากอนาคตของเราไว้ได้คือ แนวความคิดเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของมนุษย์ และเราจะต้องเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการคิดเกี่ยวกับความสามารถของมนุษย์ เพราะระบบการศึกษาของเรา ได้ปลูกฝังความคิดของในรูปแบบที่ ที่ในอนาคตจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเราได้ เราจะต้องคิดใหม่ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานหลัก ในการให้การศึกษาแก่ลูกหลานของเรา
ในช่วงท้ายของการพูด เซอร์โรบินสันได้ยกคำพูดหนึ่งของ Jonas Salk ที่ว่า ถ้าพวกแมลงทั้งหมดหายไปจากโลกนี้ ภายใน 50 ปี ทุกชีวิตบนโลกก็จะสิ้นไป แต่หากมนุษย์หายไปจากโลกนี้ ภายใน 50 ปี สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็จะขยายเผ่าพันธุ์ได้สมบูรณ์ เขาพูดถูกนะครับ
วิธีการเดียว ที่เราจะรักษาโลกไว้ได้ คือการที่เรามองความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ว่ามันมีมากมายมหาศาล และมองลูกหลานของเราว่าพวกเขามีสิ่งเหล่านั้น และหน้าที่ของเราก็คือสอนพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเผชิญกับอนาคตได้ เพราะพวกเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นอนาคตนั้น แต่ลูกหลานของเราจะได้เห็น ดังนั้น มันเป็นหน้าที่ของพวกเรา ที่จะช่วยให้ลูกหลานของเรา อยู่กับอนาคตนั้นได้
ที่มา : https://www.ted.com/talks/sir_ken_robinson_do_schools_kill_creativity