Google และ Facebook, สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี, ประกาศอนุญาตให้พนักงานของพวกเขาทำงานจากบ้านได้จนถึงสิ้นปี Twitter เองก็แจ้งในอีเมลถึงพนักงานของบริษัทว่าสามารถทำงานจากบ้านได้ “ตลอดไป” หรือ “ตราบเท่าที่เห็นควร” ออฟฟิศก็ยังพร้อมจะเปิดรับ หรือจะทำงานที่บ้านต่อไปก็แล้วแต่การตัดสินใจของตัวพนักงานเองเพราะที่ผ่านมาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานก็ไม่ได้ลดลง จึงไม่เห็นว่าการเข้าออฟฟิศเป็นเรื่องที่สำคัญเท่าไหร่อีกต่อไป
ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่ๆเท่านั้นที่กำลังมองความสำคัญของออฟฟิศเปลี่ยนไป Jeff Haynie, CEO ของบริษัทสตาร์ทอัพ Pinpoint ในเมือง Austin ก็ไม่ต่างกัน ช่วงประมาณต้นเดือนมีนาคม ตอนนั้นเขากำลังมองหาพื้นที่เช่าใหม่สำหรับออฟฟิศเพราะสัญญากับ WeWork กำลังจะหมดลงในเดือนสิงหาคม สิ่งที่เขาคิดอยู่ตอนนั้นก็คืออาจจะต้องหาพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของจำนวนพนักงานในบริษัท แต่แล้วโรคระบาดก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนพนักงานของเขาต้อง WFH ทำงานจากบ้านตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคมเป็นต้นมา
Haynie ได้ทำแบบสอบถามขึ้นมาให้พนักงานเกี่ยวกับสถานการณ์หลังจากที่การระบาดของไวรัสดีขึ้นและสามารถกลับมาทำงานที่ออฟฟิศได้ กว่าครึ่งหนึ่งของพนักงานบอกว่าถ้าสามารถทำงานจากบ้านต่อไปได้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก กลายเป็นว่าเขาต้องกลับมานั่งคิดใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับออฟฟิศ เพราะจากขนาดของออฟฟิศที่เคยคิดว่าต้องโตขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นเล็กลงกว่าเดิมเกือบครึ่ง เพราะมันไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่แล้ว อาจจะมีโต๊ะทำงานแบบชั่วคราวมาตั้ง มีห้องประชุม มีพื้นที่ทำงานแบบรวม แถมไม่พอถ้าพนักงานกว่าครึ่งไม่อยากเข้าออฟฟิศบ่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่ในบริเวณที่ค่าเช่าแพงเหมือนเดิมก็ได้ด้วย เขากล่าวว่า
“มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้คิดถึงเลยเมื่อหกสัปดาห์ก่อน แต่กลายเป็นประเด็นที่ผมต้องเอามาคุยกับนักลงทุนในตอนนี้ โดยทั่วไปแล้วมันก็เป็นสถานการณ์ที่ win-win”
นี่อาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกการทำงานเลยก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้ที่ออฟฟิศเป็นเหมือนหน้าตาของบริษัท ตบแต่งหรูหราสวยงาม ไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาวสุดหรูเพื่อให้ลูกค้า พนักงาน หรือนักลงทุนเดินเข้ามาแล้วประจับตราตรึงใจ มันเป็นฉากหน้าที่ดีงามแต่ว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลและค่าเช่าต่างก็สูงมากเช่นเดียวกัน ยิ่งถ้าไปอยู่ในย่านทำเลทองของเมืองใหญ่ ยิ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสิ้นเปลืองของบริษัทเลย เพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ต่อจากนี้ก็คือการลดลงของออฟฟิศใหญ่ๆและการเติบโตของออฟฟิศขนาดเล็กที่เอาไว้เพื่อรองรับการเจอกับลูกค้า สัมภาษณ์พนักงาน หรือแค่ประชุมทีมกันเท่านั้น
ถ้ามีคนพูดแบบนี้สักครึ่งปีก่อนทุกคนคงเบือนหน้าหนี หลายสิบปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการขยายตัวของเมือง ค่าเช่าที่ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ เทรนด์นี้มีให้เห็นในเมืองใหญ่ๆทั่วโลก ในประเทศไทยสิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2562 ในกรุงเทพมหานครมีพื้นที่สำนักงานทั้งสิ้น 8.764 ล้านตารางเมตร มีพื้นที่สำนักงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างราว 1.3 ล้านตารางเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จระหว่างปี 2562 – 2565 และอัตราค่าเช่าเติบโตขึ้น 5-10% ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทหลายแห่งก็ไม่ได้มีมาตการรองรับการทำงานจากบ้าน อย่าง IBM ก็แคนเซิลโปรแกรมนี้ไปตั้งแต่ปี 2017 และยังมีอีกหลายบริษัทอย่าง Accenture, ATT, Cognizant, Epic Systems, Tesla, SpaceX และ Wells Fargo ที่ถูกประนามโดย David Heinemeier Hansson ผู้ร่วมก่อตั้ง Basecamp (แพลตฟอร์มจัดการโปรเจ็คออนไลน์) ทางทวีตเตอร์ว่าบริษัทเหล่านี้ควรหันมาให้ความสนใจกับเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แล้ว
หลังจากการแพร่ระบาดหนักของ Covid-19 ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทน้อยใหญ่ต่างต้องปรับตัวกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเต็มใจหรือไม่ก็ตาม (แม้แต่บริษัทสตาร์ทอัพของผมเองยังต้องเปลี่ยนเป็นการประชุมออนไลน์และส่งงานผ่านสายเคเบิ้ลมาเกือบสามเดือนแล้ว) ในตอนแรกนั้นทุกคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง แต่สุดท้ายหลังจากเอาเทคโนโลยีหลายๆอย่างที่มีอยู่มาปรับใช้ก็พบว่ามันไม่ได้ยากจนเกินไป แม้แต่บริษัทการเงินระดับโลกอย่าง Morgan Stanley และ Barclays ที่มีรายงานว่าจะอนุญาตให้พนักงานของพวกเขานั้นทำงานจากบ้านต่อไปได้แม้ว่าการระบาดนั้นจะดีขึ้นแล้วก็ตาม สิ่งหนึ่งที่บริษัทเหล่านี้พบ (ที่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้) ก็คือว่าการให้พนักงานทำงานจากบ้านนั้นไม่ได้น่ากลัวนาดนั้น ประสิทธิภาพของพนักงานนั้นเพิ่มขึ้นจากเดิมซะด้วยซ้ำ มีบทวิเคราะห์ชิ้นหนึ่งที่บอกว่าพนักงานทำงานมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ (นี่ขนาดว่าบางบ้านต้องสู้รบปรบมือกับเด็กๆในบ้านช่วงปิดภาคเรียนด้วยนะ) และต่อจากนี้เมื่อธุรกิจต่างๆต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจที่หดตัวในหลายๆภาคส่วน การตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปอย่างการจ่ายค่าเช่าออฟฟิศราคาแพงทุกเดือนก็เป็นทางเลือกที่มีเหตุผลไม่น้อย
และตอนนี้ทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะมุ่งไปทางนั้น บริษัท Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) ได้ยกเลิกสัญญาการเข้าซื้อพื้นที่ขนาดมหึมา 185,000 ตรม. (ที่ถ้าเกิดขึ้นจะเป็นสัญญาที่มีมูลค่าสูงที่สุดใน Bay Area เลยทีเดียว) จากรายงานข่าวของ The Information ทางด้าน CEO ของ Morgan Stanley, James Gorman, ได้ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่าพวกเขาทำงานได้มีประสิทธิภาพโดยสร้างมลภาวะให้กับโลกได้น้อยลงและคิดว่าเทรนด์นี้น่าจะดำเนินต่อไปในอนาคต บริษัทประกัน Nationwide ก็วางแผนที่จะปิดออฟฟิศกว่า 5 แห่งเพราะจะปรับให้พนักงานบางส่วนนั้นทำงานจากบ้านเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ Groupon ที่เพิ่งปลดพนักงานกว่า 44% ของบริษัทออกก็พยายามแบ่งพื้นที่บางส่วนของออฟฟิศให้กับบริษัทอื่น สตาร์ทอัพอย่าง Culdesac ก็ประกาศว่าจะยกเลิกการใช้สำนักงานใหญ่ที่ San Francisco ไปเลยเพราะตอนนี้การทำงานจากบ้านก็ดำเนินไปด้วยดี
มีการคาดเดาว่ากว่าทุกอย่างจะกลับไปเป็นปกติก็น่าจะอีกปีถึงสองปี ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆการอาศัยอยู่ในเมืองจึงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าดึงดูดสักเท่าไหร่ เมื่อก่อนคนกระจุกตัวกันอยู่ในเมืองเพราะต้องทำงานที่นี่ แต่เมื่อการใช้ชีวิตในเมืองมีความเสี่ยงเรื่องสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้องและตอนนี้สามารถทำงานที่บ้าน (ที่จริงจะที่ไหนก็ได้ในโลกแหละ) ผ่านสายเคเบิ้ลได้แล้ว ก็คงอีกไม่นานที่เหล่าแรงงานมีฝีมือเหล่านี้จะเริ่มตระหนักได้ว่าการอาศัยอยู่ในเมืองเป็นเรื่องสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น พวกเขาสามารถย้ายบ้านออกมาจากความแออัดและใช้ชีวิตในพื้นที่ชานเมืองที่ประหยัดกว่าได้อย่างไม่เดือดร้อน เพราะนอกเรื่องค่าเช่าที่พักอาศัยที่จ่ายน้อยลงแล้ว การใช้ชีวิตแบบ social distancing ในเมืองก็เป็นเรื่องที่ลำบาก โดยเฉพาะการใช้ระบบขนส่งมวลชนที่ยังไม่สามารถหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีได้ ยิ่งทำให้การอาศัยอยู่ในเมืองนั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพตัวเองไปด้วย (แม้ว่าที่ผ่านมาอัตราห้องว่างในเมืองยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่เพราะพนักงานส่วนใหญ่ยังคงรอกลับไปทำงาน แต่เมื่อไหร่ที่บริษัทอนุญาตให้พนักงานทำงานจากบ้านได้และเข้าออฟฟิศแค่บางครั้ง ตอนนั้นเราอาจจะเริ่มเห็นอัตราห้องว่างที่สูงขึ้นและค่าเช่าที่ถูกลง)
ซึ่งก็นำมาถึงอัตราการชะลอตัวของป่าคอนกรีตในเมือง ตึกสูงระฟ้าวิวสูงหรือระบบลิฟท์ที่เคลื่อนที่เร็วอาจจะไม่ใช่เป็นที่ต้องการของมนุษย์ยุคใหม่อีกต่อไป แค่คิดว่าต้องไปยืนอยู่ในลิฟท์ที่แออัด เบียดกับคนอื่นๆที่อยู่ในนั้นแย่งกันหายใจ (เราอาจจะเห็นราคาของห้องพักชั้นล่างนั้นราคาสูงขึ้นกว่าชั้นบนเหมือนช่วง 9/11 ก็ได้) แค่นั้นก็ไม่อยากทำแล้ว โรคระบาดระดับโลกครั้งนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างช่วยไม่ได้ ทั้งรูปร่างหน้าตาของสัญญาเช่าซื้อต่างๆไปจนกระทั้งการกู้ธนาคารเพื่อลงทุน ตอนนี้สิ่งที่เห็นเกิดขึ้นแล้วก็คือการออกแบบพื้นที่ใหม่ให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตแบบ social distancing มีปุ่มกดลิฟท์ด้วยเท้า มีการวางจุดเว้นระยะห่าง ห้องประชุมมีการจัดวางเรียงโต๊ะให้ห่างกัน ประตูเป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด มีกล้องตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าอาคาร จุดวางแอลกอฮอล์ล้างมือ มีการตรวจสอบการเข้าออกพื้นที่อย่างจริงจัง (บ้านเราก็มี “ไทยชนะ” ที่ไม่แน่ใจว่าทำงานได้ดีมากขนาดไหน ส่วนตัววันนี้ลองใช้ที่ซุปเปอร์มาเก็ตแถวบ้านแต่ระบบบอกว่า “เต็ม” ซึ่งก็น่าจะหมายถึงว่าสถานที่นั้นๆไม่ควรเข้าไป แต่ทางซุปเปอร์มาเก็ตเองก็ไม่ได้ห้ามเข้าแต่อย่างใด)
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามที ยังมีบางกลุ่มที่เห็นต่างและเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกับเรื่องร้ายๆที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตอย่างเช่น SARS หรือ 9/11 ที่ตอนนั้นคนทั่วไปต่างกลัวไปต่างๆนานา แต่สุดท้ายแล้วเราก็กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมและแทบจะลืมเรื่องราวที่เลวร้ายเหล่านั้นไปเลยทั้งหมด และยิ่งการที่เราต้องใช้ชีวิตแบบเว้นระยะห่างมาขึ้น ยิ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมความต้องการในพื้นที่นั้นจะยิ่งสูงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และการทำงานจากบ้านอาจจะมีประสิทธิภาพในตอนนี้แต่ในระยะยาวไม่มีใครรู้เลยว่ามันจะเป็นยังไง หรือบางทีมันอาจจะเป็นจุดสมดุลย์กึ่งกลางที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ที่พนักงานในออฟฟิศอาจจะไม่เยอะ มีระยะห่างที่พอเพียงสำหรับทุกคน แต่ก็ยังใช้พื้นที่ไม่ต่างจากตอนนี้เท่าไหร่นัก
ในมุมของธุรกิจแล้วตราบใดที่พนักงานยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่ามันจะมาจากโต๊ะทำงานในออฟฟิศหรือโต๊ะทานข้าวที่บ้านก็ถือว่าไม่ต่างกัน เหมือนดั่งคำพูดของเติ้งเสี่ยวผิงที่บอกว่า
“ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี”
ในอนาคตความสำคัญของออฟฟิศอาจจะน้อยลง อาจจะไม่ตายไปทั้งหมดแต่จะไม่ได้มีหน้าที่เหมือนอย่างที่เราคุ้นเคยกันอยู่ทุกวันนี้