25 พฤษภาคม 1961, John F. Kennedy ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ประกาศโครงการไปดวงจันทร์อย่างเป็นทางการในการประชุม Joint Session of Congress
“ก่อนสิ้นสุดทศวรรษนี้ กับการพาคนไปสู่ดวงจันทร์และพากลับมาอย่างปลอดภัย ไม่มีโครงการอวกาศใดที่จะน่าประทับใจต่อมนุษยชาติ หรือสำคัญต่อการสำรวจอวกาศในระยะยาว และจะไม่มีโครงการอื่นใดที่จะยากและราคาสูงเท่านี้ในการบรรลุผล”
เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจอย่างบ้าบิ่นครั้งนี้เพราะ JFK เริ่มเป็นห่วงภาพลักษณ์ของผู้นำโลกว่าอเมริกานั้นเริ่มตามหลังสหภาพโซเวียตในด้านเทคโนโลยี เขาต้องการสร้างความท้าทายให้กับประเทศของเขาเองโดยตั้งเป้าว่าจะส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์และกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ภายในสิ้นทศวรรษนี้
วันที่ 16 กรกฎาคม 1969, ประมาณ 8 ปีให้หลัง (แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากประชาชนเป็นอย่างมากในช่วงกลางๆ – ลองไปอ่านแบบยาวๆได้ที่นี่ครับสนุกมาก) ยานอวกาศอะพอลโล 11 ถูกส่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโดยจรวด แซเทิร์น 5 (Saturn V หรือ Saturn Five) ที่ฐานยิงจรวดที่แหลมเคเนดี รัฐฟลอริดา อีก 3 วันต่อมา Apollo Lunar Module ก็สามารถลงจอดบริเวณ “ทะเลแห่งความเงียบสงบ” (Mare Tranquilitatis) ได้สำเร็จ (ที่ขาของ Lunar Module มีแผ่นป้ายเล็ก ๆ สลักข้อความว่า “ณ ที่นี้มนุษย์จากโลกได้ก้าวเท้าแรกบนดวงจันทร์ กรกฎาคม คริสตศักราช 1969 เรามาอย่างสันติเพื่อมนุษยชาติทั้งมวล”)
หนึ่งในสามนักบินอวกาศในตอนนั้นคือ Neil Armstrong ได้เอ่ยประโยคสุดคลาสสิค
“That’s one small step for a man, one giant leap for mankind”
ก่อนจะเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติหลังจากเก็บตัวอย่างหินและใช้เวลาบนดวงจันทร์กว่า 21 ชั่วโมง 36 นาที, ยานอวกาศของนาซ่าก็นำนักบินอวกาศกลับมายังโลกอย่างปลอดภัยในวันที่ 24 กรกฎาคม 1969
หลังจากกักตัว 21 วันเพื่อให้แน่ใจว่านักบินอวกาศทั้งสามไม่ได้นำสิ่งแปลกปลอมจากนอกโลกเข้ามาด้วย ก็มีการจัดงานพาเหรดต้อนรับพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่กลางเมืองนิวยอร์คในวันที่ 13 สิงหาคม
เมื่อขบวนพาเหรดของนักบินอวกาศทั้งสามคนเคลื่อนมาผ่านกลาง Times Square ก็มีป้ายโฆษณาขนาดมหึมาส่องแสงวิบวับเขียนว่า
“Welcome home to Planet Earth, home of Coca Cola”
Apollo 11 ได้นำนักบินอวกาศกลุ่มแรกของโลกไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จ เป้าหมายที่บ้าบิ่นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ JFK บรรลุเสร็จสิ้นอย่างสวยงาม
ส่วน Coca Cola ก็ขโมยซีนเพื่อประชาสัมพันธ์และทำการตลาดให้แบรนด์ตัวเอง อ้างสิทธิ์การเป็นแบรนด์ระดับโลกได้อย่างแนบเนียน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการการประชาสัมพันธ์หรือทำการตลาดที่ชาญฉลาดนั้นอาศัยจังหวะและไหวพริบ
อยากให้โลกเห็นต้องใช้สมอง ไม่ใช่แค่ใช้เงินโฆษณา
แล้วคุณหล่ะทำอะไรให้แบรนด์ของคุณได้บ้าง?
Other Articles
Nakama Café なかま
