หนึ่งในสิบอาชีพที่มีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากที่สุดมีอาชีพนักเขียนอยู่ในนั้น หนังสือหลาย ๆ เล่มที่เขียนออกมาได้ดี ก็มักจะขูดรีดออกมาจากจิตวิญญาณที่แหลกสลาย เช่น แมตต์ เฮก นักเขียนคนหนึ่งที่ใครๆก็แนะนำให้ไปอ่านหนังสือของเขา เขาก็เป็นโรคซึมเศร้าและเขาก็เขียนเกี่ยวกับมัน เช่นกัน
Matt Haig (แมตต์ เฮก) เป็นนักเขียน เจ้าของผลงานหนังสือบันทึกความทรงจำเรื่อง แด่ผู้แหลกสลาย(Reason to stay alive) เล่มนี หนังสือเล่มนี้ติดอันดับหนังสือขายดีในสหราชอาณาจักรถึง 46 สัปดาห์ นอกจากนี้เขายังเขียนวรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับความนิยมอย่างล้มหลามอีกหลายเล่ม
เขาเป็นนักเขียนที่ยอดเยี่ยมและหนังสือเล่มนี้ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาเหมือนกัน
เมื่อเปิดอ่านหน้าแรกของหนังสือ
เรามักจะเลือกเสพสิ่งที่คล้ายกับเราโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว … โรคซึมเศร้าก็เช่นกัน มันใกล้เพียงแค่เราหลับตาแล้ว ทิ้งตัวเองให้ดำดิ่งอยู่กับมัน — หลายคนอาจจะพูดว่า ‘จัดการอารมณ์ตัวเองให้ได้’ ‘โตแล้ว อดทน ต้องผ่านมันไปให้ได้’ ‘สำออย’ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น ผู้แหลกสลายทุกคนรู้ดี
ตั้งแต่อ่านหนังสือแนวนี้มา นักเขียนเกือบทุกคนที่ได้แตะไปในโลกที่แตกสลายจะจบลงที่การฆ่าตัวตาย อย่าง Verginia Woolf, Ernest Hemingwey แต่ว่าเล่มนี้ต่างออกไป
“โรคซึมเศร้าของแต่ละคนแตกต่างกัน ความเจ็บปวดมีหลายรูปแบบ หลายระดับ และกระตุ้นการตอบสนองที่แตกต่างกันไป ดังนั้นหากจะมีหนังสือเล่มใดที่ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของเราแล้ว เล่มที่ควรค่าแก่การอ่านเห็นจะเป็นเล่มที่เราเขียนเอง”
และ Matt Haig ยังอยู่ตรงนี้กับผู้อ่านทุกคนเพื่อ พิสูจน์ว่า ‘เราเอาชนะมันได้’
อ่านยากไหม?
เล่มนี้คล้ายกับเป็นบันทึกประจำวันของ Matt Haig ในช่วงที่เขาเป็นโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล เป็นหนังสือที่อ่านง่าย และด้วยการแปลภาษาของคุณ ศิริกมล ตาน้อย ผู้แปล ผู้ช่วยให้เราสามารถเข้าใจเรื่องที่ผู้เขียนอย่าง Haig เขียนออกมาได้อย่างสละสลวย ภาษาไม่ขัดตา ราวกับว่า Matt Haig เป็นคนไทย 😀
หนังสือเล่มนี้บันทึกเรื่องโรคซึมเศร้าอย่างตรงไปตรงมา เป็นดั่งเพื่อนแท้ของผู้ป่วยและไกด์บุ๊คสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจ หนังสือเล่มนี้เมื่ออ่านไปแล้วก็ทำให้รู้สึกว่า เราก็เป็นผู้แหลกสลายคนหนึ่งในโลกใบใหญ่นี้ การเป็นผู้แหลกสลายไม่ใช่เรื่องผิด และไม่จำเป็นต้องกล่าวโทษตัวเอง หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เราแตกสลาย
การแตกสลายนั้นแสนเท่ เมื่อเราสามารถประกอบสร้างตัวเองขึ้นมาจากสิ่งที่ผุพังได้
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 5 ส่วน เราจะค่อย ๆ เห็นการดำดิ่ง การพูดคุย การประนีประนอม และการปล่อยให้ตัวเองเฉา บนเหตุที่ว่าอีกแป๊บนึงเราจะลุกออกจากที่นอนมาเพื่อทำบางอย่าง
ในหนังสือเล่มนี้สะท้อนความเป็นมนุษย์แบบที่เราถูกคาดหวังมา พูดคุยและถกเถียงกับตัวเอง เราอาจจะอ่านเรื่องของคนดังที่เป็นโรคซึมเศร้าเพื่อบอกให้ตัวเองสู้ และ ใช้ชีวิตเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ให้โรคซึมเศร้าที่เราประสบนี้เป็นดั่งของขวัญอันยิ่งใหญ่
แต่ในหนังสือของ Matt เขาเขียนไว้
“เราไม่จำเป็นต้องใช้มันบริหารประเทศเหมือนเชอร์ชิลล์หรือลินคอร์น ไม่ต้องใช้มันสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกเลยด้วยซ้ำ เราใช้มันในชีวิตก็พอแล้ว”
เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกับโรคที่ล่องหนนี้ได้ เราเป็นโรคซึมเศร้าและเราไม่จำเป็นต้องเอาชนะมันด้วยการเปลี่ยนแปลง ลุกขึ้นมาทำอะไรพิเศษ “เราแค่มีอยู่เท่านั้นก็มากพอแล้ว” เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กจ้อยแต่ก็ไม่ได้เดียวดาย อย่างที่โรคซึมเศร้าทำให้เราคิด
บทหนึ่งที่เราชอบมาก ๆ ในหนังสือของ Matt ก็คือบทที่เขาไปรวบรวมข้อความจาก #ReasonToStayAlive ซึ่งมาจากผู้ใช้ในทวิตเตอร์มา เมื่ออ่านแล้วเราได้ความรู้สึกว่า ในขณะที่ใคร ๆ บอกว่าโซเชียลมีเดียคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น อีกมุมหนึ่งของมันก็มีพื้นที่ ที่ช่วยให้เราหาว่าอะไรคือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่
บางคนซึมเศร้า แต่มีชีวิตอยู่เพื่อหน้าจิ๋วๆของลูกสาวหรือเจ้าแมว การได้ออกกำลังกาย หรือการรอของที่สั่งซื้อ การที่เรายอมรับและไม่ย่อท้อต่อคลื่นอารมณ์
สำหรับการรีวิวหนังสือเล่มนี้แล้ว ขอจบลงที่ข้อ 40 ใน “วิธีใช้ชีวิต” ในหน้า 302
“จงกล้าหาญ เข้มแข็งเข้าไว้ หายใจเข้าลึกๆ และเดินหน้าต่อไป คุณจะนึกขอบคุณตัวเองทีหลัง”