‘เอเดน’ ธุรกิจกาแฟ Moka Pot ข้างทางของเด็กหนุ่มวัย 19 ปี – จากเด็กเสิร์ฟพาร์ทไทม์ กลายเป็นเจ้าของกิจการ (แบบไม่มีทางเลือก)
สมัยที่ยังเป็นเด็กมหาวิทยาลัยตลอดทั้ง 4 ปี ต่ายมีโอกาสได้ทำงานพาร์ทไทม์อยู่ตลอด ตั้งแต่เป็นเด็กในร้านขายหนังสือในมหาวิทยาลัย ทำงานเอกสารในห้องสมุด เป็นติวเตอร์สอนฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ และนอกจากนั้นยังเป็นเด็กเสิร์ฟ ล้างจาน ถูพื้นในร้านอาหารไทยอีกด้วย

เตี่ยกับแม่ดูแลเรื่องค่าเทอม ค่าเล่าเรียน ส่วนต่ายก็นำรายได้จากงานเหล่านี้มาเป็นค่ากินค่าอยู่ของเราที่พอจะแบ่งเบาภาระของทางบ้านได้บางส่วน
ระหว่างที่ทำงานบางครั้งเราเห็นเพื่อนๆคนอื่นที่เขามีเงินมีอะไรมากกว่า อยู่สบายกว่า วันที่อากาศหนาวๆ ไม่ต้องมายืนรอรถบัสเพื่อไปทำงานรายได้ขั้นต่ำ ก็มีบ้างที่รู้สึกอิจฉาในใจลึกๆ แต่มาตอนนี้กลับรู้สึกขอบคุณตัวเองที่ตอนนั้นอึด ถึก ทน ทั้งเรียนทั้งทำงาน ผ่านช่วงเวลาที่ไม่ได้สวยงามตรงนั้นมาได้ และมันก็สอนเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบ สถานการณ์มันบังคับให้เราเติบโตขึ้น
เมื่อวันก่อน ต่ายเห็นข่าวร้านกาแฟร้านนี้บนเพจ cm108 ซึ่งพาดหัวว่าเป็นเด็กหนุ่มสองคนที่เปิดร้านขายกาแฟข้างทางเพื่อหารายได้สำหรับค่าเทอม ในใจย้อนกลับไปคิดถึงตัวเองในวัยเดียวกัน แล้วรู้สึกว่าอยากมีโอกาสได้ไปนั่งคุยด้วยสักครั้ง อย่างน้อยๆก็อยากเอาเรื่องราวของน้องทั้งสองมาเล่าให้คนอื่นๆฟัง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อายุยังไม่ยี่สิบจะกล้าออกมาทำอะไรแบบนี้ และน่าจะมีบทเรียนดีๆเป็นกำลังใจให้กับหลายๆคนในช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างตอนนี้แน่นอน
ร้านของสองพี่น้อง “เอเดนและคาวาน แมคคอร์ท” หาไม่ยากครับ อยู่ฝั่งเดียวกับถนนโรงพยาบาลลานนา ขับเลยมานิดหนึ่งจะเจอกับอู่ขายรถมือสอง ก็เจอป้ายไม้เล็กๆเขียนด้วยช็อกสีว่า “เอเดน กาแฟข้างทาง” เป็นร้านกาแฟป๊อบอัพสโตร์เล็กๆอยู่ตรงนั้นเลย สามารถจอดริมถนนได้ แต่เวลาคนเยอะๆ อาจจะต้องรอหน่อย เพราะน้องช่วยกันทำแค่สองคนจริงๆ
แนะนำตัวนิดหนึ่งครับ
“ผมเอเดน และ น้องชื่อคาวานหรือจะเรียกว่าแคบหมูก็ได้ครับ”
“แคบหมู?” ต่ายถามย้ำ
“ใช่ครับ…คือ…คนออกเสียง คา-วาน ไม่ถูกเลยให้เรียกว่าแคบหมูไปเลย” (หัวเราะ!)

สองพี่น้องคุยเล่นกับต่ายอย่างไม่เขินอาย เอเดนปีนี้อายุ 19 ปี ส่วนคาวานปีนี้อายุ 18 ปี ทั้งสองคนเป็นพี่น้องคลานตามกันมา เป็นลูกครึ่งไทย – อังกฤษ เติบโตที่เชียงใหม่ เอเดนกำลังจะขึ้น ปวส.
“ปกติผมทำงานพาร์ทไทม์ตอนเย็นอยู่ ก็มีไปทำงานตลาดนัดด้วย ผมทำงานมาตั้งแต่อายุ 16 ครั้งแรกผมทำที่สวนทวีชล ไปช่วยเสิร์ฟ ช่วยเป็นพนักงาน พอทำไปทำมารายได้มันไม่ค่อยพอก็เลย ไปได้งานประจำที่ไนซ์บาเก็ต เพลินฤดี ก็ไปทำจันทร์ถึงเสาร์หลังเลิกเรียน เพราะนอกจากเล่นกีฬาบาสเกตบอล ผมกลับบ้านก็ไม่มีอะไรทำ เลยไปช่วยแม่ทำงานพาร์ทไทม์ ตอนนั้นได้เงินมา ก็รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ได้ใช้เวลาให้มีประโยชน์ และเวลาอยากซื้ออะไรก็ไม่ต้องรบกวนแม่ด้วย เพราะแม่ก็เหนื่อยเลี้ยงดูผมกับน้อง”
“ผมก็มาช่วยด้วยเหมือนกัน” แคบหมูเสริม
“พอปิดเทอมก็มีเวลาทำงานเยอะขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ธุรกิจต่างปิดกันหมด งานพาร์ทไทม์ที่เคยมี ก็หายไปด้วย รายได้ที่เคยได้ก็เริ่มไม่พอ สถานการณ์ไม่ดีเท่าไหร่ ผมต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง”

คือตอนนี้น้องเอเดนถือว่าเป็นเสาหลักของครอบครัวไปแล้ว?
“ใช่ครับ แม่ก็ตกงานเหมือนกัน เพราะธุรกิจที่แม่เคยทำงานอยู่ก็ปิดไป งานของน้องก็ไม่ต่างกัน ตอนนี้เหมือนหลังชนฝา แต่เราจะมาท้อมันก็ไม่ได้ ก็เลยถือโอกาสตรงนี้มา มาลงทุนทำอะไรให้มันได้เยอะขึ้นก็เลยเลือกมาเปิดร้านกาแฟ ทั้งที่ตัวเองชงไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ”
“ตอนที่ออกมาทำอย่างน้อยๆ ถ้าทำอะไรสักอย่างก็คงดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ ตอนนั้นทุกอย่างปิดหมด รายได้หายหมด”
กาแฟไม่ใช่ความฝัน? แล้วเราอยากเป็นอะไร?
“ตอนเด็กอยากผมไม่มีอะไรที่อยากทำเป็นพิเศษจบสายไอทีไปก็คงเป็นพวกโปรแกรเมอร์หรือทำงานตามบริษัท ผมชอบเขียนโปรแกรม ผมชอบเขียนเว็บ มันเป็นงานที่ดูเป็นความต้องการของตลาด” เอเดนบอก
“ตอนนี้ผมอยากจะเป็นคนครู เพราะว่าผมเป็นคนพูดเก่งและมีเพื่อนๆหลายคนบอกว่าผมอธิบายรู้เรื่อง” คาวานเล่าให้ฟังต่อ
ทำงานพาร์ทไทม์กับทำธุรกิจของตัวเองต่างกันยังไงบ้าง?
“พาร์ทไทม์เราอาจจะใช้เวลาแค่ช่วงเวลาทำงานแต่ถ้ามาทำเป็นของตัวเองเราก็ต้องทำทุกอย่างและมีเวลาให้มันทั้งวัน พาร์ทไทม์เราหมดเวลางานเราก็กลับบ้านไปนอน แต่พอทำของตัวเองกลับบ้านไปก็เตรียมของ หาความรู้เพิ่ม ต้องพยายามทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ”
“ถ้าถามว่าที่จริงแล้วส่วนตัวผมชอบดื่มชา ละทีนี้อยากทำเองได้แล้วไปปรึกษาเพื่อนๆเขาก็บอกว่าลองขายกาแฟด้วยสิ เพราะน่าจะขายง่ายกว่า ส่วนที่เป็น Moka Pot ก็เพราะว่าอุปกรณ์และราคามันเข้าถึงได้ แปลกใหม่ด้วยในเชียงใหม่ ผมเลยลองทำจากตรงนี้ก่อน”

Moka Pot คือเครื่องมือในการกลั่นกาแฟออกมาแบบหนึ่ง กาแฟของ Moka จะเป็นการที่เอาเมล็ดกาแฟมาบดให้หยาบละเอียดใส่ลงในกรวยแล้วเติมน้ำที่ท้ายของหม้อจากนั้นนำไปต้มให้น้ำร้อนจากก้นหม้อดันกาแฟเอสเปสโซ่ออกมาซึ่ง ซึ่งกาแฟที่ได้จาก Moka Pot จะเป็นเอสเปสโซ่เข้มข้นออกมานั้นเอง
แล้วเริ่มกันยังไง?
“เริ่มแรกผมก็ดูจากยูทูปก่อน (หัวเราะ!) จากนั้นผมหัดทำหัดกินทุกวันเลย เททิ้งไปเยอะมาก”
“ให้ตัวเองชิม ให้เพื่อนชิม จนวันหนึ่งผมทำมา 10 แก้ว แล้วก็มีคนบอกว่าอร่อย 8 แก้ว ผมถึงตัดสินใจลองเปิดร้านดู ใช้เวลาเกือบสองเดือนเหมือนกันนะครับที่ทำกินเอง ผมทำกินเองก็วันละสองสามแก้ว แต่ถ้าทำแจกก็คงไม่ต่ำกว่าหลายร้อยแก้ว”

“ตอนแรกผมขายใต้ต้นไม้ ห่างจากตรงนี้ไปหน่อย พี่เจ้าของเต้นท์รถก็เอ็นดูบอกว่าเข้ามาขายตรงนี้ก็ได้ มีร่ม อย่างน้อยๆก็ไม่ร้อน พี่เขาไม่คิดค่าเช่าผมด้วย เริ่มทำอาทิตย์แรกวันนั้นผมก็โชคดีมีพี่ที่เป็นบาร์ริสต้ามาเจอแล้วเขาก็มาช่วยชิมช่วยสอน”
“ส่วนใหญ่ลูกค้ากลุ่มแรกก็เป็นกลุ่มเพื่อนและคนที่ผ่านไปผ่านมา หลังๆก็เป็นคนที่บอกต่อกันไป เป็นคนที่เอ็นดูเรา เป็นคนที่อยากมาช่วยเรา นั้นก็ทำให้เรารู้สึกดี แต่บางทีพอคนมาเยอะๆ เราทำไม่ทันบ้าง โชคดีทีลูกค้าก็รอได้ บางคนก็รีบเราก็เข้าใจ ก็ต้องขอโทษลูกค้าหลายๆคนมากๆ แต่เราก็พยายามทำให้อร่อยและถูกปากลูกค้าให้มากที่สุด”
“ถ้าลูกค้าบอกไม่อร่อย เราก็จะเสนอแก้วใหม่ให้เลย”
ถ้าเกิดว่างานพาร์ทไทม์กลับมา จะเลิกทำตรงนี้ไหม?
“ผมคิดว่าผมจะทำไปเรื่อยๆนะครับ ถ้าเปิดเทอมก็คงจะยังไม่ทิ้ง ในอนาคตถ้าติดต่อกับทางวิทยาลัยได้ก็อาจจะขอเข้าไปขายในวิทยาลัยครับ”
“การมาทำตรงนี้ทำให้ความฝันของเราเปลี่ยนไป ตอนนี้ทำไปเรื่อยๆถ้ามีทุนสักก้อน ผ่านวิกฤตหรืออะไรลงตัวไปก่อนก็คงจะเปิดคาเฟ่จริงๆ”
“ถ้าทำตรงนี้ไปแล้วโอเค ยังมีลูกค้าให้เราสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงได้ ก็คงไม่กลับไปพาร์ทไทม์แล้ว เพราะถ้าเป็นงานพาร์ทไทม์เราอาจจะต้องกังวล เรื่องสูตรเรื่องอะไร แต่พอมาทำเองเราก็มีมาตราฐานของเรา”
“ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มา 50% มาเพราะการบอกต่อ”
“ตอนผมเริ่มทำ เพื่อนๆหรือคนรู้จักมาเห็นเขาก็มาปรึกษานะครับว่าทำยังไง เริ่มยังไงเพราะหลายคนอยากทำแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะเสี่ยง”
ทำไมเราถึงกล้าเสี่ยง?
“เพราะเราไม่มีอะไรให้เสีย ถ้าไม่ทำอะไรก็ไม่ได้เลย มันเป็นอะไรที่หลังชนฝ่าเหมือนกัน เริ่มแรกผมใช้ทุนประมาณ 3000 ยังไม่รวมที่เททิ้งนะครับ อันนี้ก็คือค่อยๆทะยอยลงเรื่อย แต่มันก็คือการลงทุนที่เราพยายามควบคุม”

“อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือ ทำกาแฟแล้วรสชาติอาจจะไม่ตรงกับลูกค้า เพราะ ‘ขม’ ‘หวาน’ ของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราก็จะถามตลอดว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง เพื่อจดจำรายละเอียดเหล่านั้นไว้ด้วย”
แคบหมูเติมว่า “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าถ้าเปิดเทอมแล้วจะยังขายดีอยู่ไหม ถ้าเปิดเสาร์อาทิตย์ก็คงจะมาช่วย แต่หลังเลิกเรียนก็คงจะหาพาร์ทไทม์ทำไปก่อน ต้องแล้วแต่สถานการณ์อีกทีครับ”
“ที่จริงเป้าหมายในชีวิตที่ใหญ่กว่าคือ อยากจะมีธุรกิจสักอย่างหนึ่งที่มันจะสามารถหาเลี้ยงเราและครอบครัวได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับมันทำวัน มีเวลาพักผ่อน ได้ดูแลครอบครัวโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเงิน มันอาจจะไม่ใช่ตรงนี้ แต่นั้นคือเป้าหมายที่วางเอาไว้”
“เพราะเราเป็นคนที่ต้องดูแลทุกคนในบ้าน?” ต่ายถาม
เอเดนพยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มอันหนักแน่น

“งานตรงนี้ให้อิสระกับเราไหม หลายคนอาจคิดว่ามันว่างขึ้น แต่จริงๆแล้วเราต้องอยู่ติดกับมันมาตลอด ต้องอยู่ต้องเรียนรู้กับมันไปตลอด อย่างผมเปิดร้าน 9 โมง ปิดร้าน 18:00 แต่ผมอาจกลับสักทุ่ม ต้องเตรียมของต่อ ต้องมาคิดว่าวันนี้ร้านมีปัญหาอะไรบ้างเพื่อจะได้แก้ไข ปรับปรุงในวันรุ่งขึ้น จะชงยังไงให้เร็วขึ้น อร่อยขึ้น จากตอนแรกที่มีหนึ่งกา เราจะเพิ่มเป็นสองกาได้ยังไง ทำยังไงให้ลูกค้าไม่รอนาน แล้วถ้าต้องไปซื้อของขณะร้านยังเปิดทำยังไง มันมีปัญหามาให้แก้ตลอด”
“ผมรู้สึกดีที่มีคนซื้อ มีคนช่วย มีคนมาชิมกาแฟของเรา พอผมทำธุรกิจ การมีลูกค้ามันก็ดีที่สุดแล้ว”
เรานั่งกันต่อถึงอนาคตของน้องทั้งสองคน เอเดนบอกว่าความฝันและความตั้งใจของตัวเองคือหารายได้ให้สามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ ส่วนแคบหมูเองอยากเป็นอาจารย์เพราะรักในงานประจำ และเขาเป็นคนขี้กังวลมากด้วย แม้ว่าเป้าหมายของทั้งคู่จะไม่เหมือนกัน คนหนึ่งอาจจะดูกล้าที่จะเสี่ยงกล้าที่จะลอง อีกคนอาจจะดูมีความสุขกับพื้นที่ปลอดภัยที่ตัวเองเลือกอยู่
สิ่งหนึ่งที่ต่ายอาจจะยังไม่ได้เอ่ยถึงคือทั้งคู่เป็นเด็กที่เกรดเฉลี่ยสามกว่าๆเกือบเต็มสี่ แม้ว่าตัวเลขนั้นมันจะไม่ได้บ่งบอกทุกอย่าง แต่อย่างน้อยๆเราเห็นว่าสิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือหัวใจที่แข็งแกร่ง มีความรับผิดชอบ สู้ในงาน ไม่อิดออด ไม่ย่อท้อต่อสถานการณ์ อาจจะมวยวัด หลังชนฝา ต้องกัดฟันสู้ โดยที่ไม่รู็หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง หรือแม้ว่าร้านกาแฟร้านนี้ปลายทางจะเป็นยังไงต่อ ต่ายเชื่อว่าสิ่งที่ทั้งคู่ตัดสินใจทำในตอนนี้อาศัยความกล้าหาญไม่น้อย และมันจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้พวกเขาเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในสังคมที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน
ช่องทางติดต่อ
เบอร์โทรศัพท์ : 062-5079071
Maps : https://goo.gl/maps/1NSBdXX3AvaTUF6h9