I GEAR GEEK เบื้องหลัง Software House ที่ไม่ Soft เลยสักนิด
คุณเซ็ต นฤภัทร พญาชัย CEO&Co Founder ของ I GEAR GEEK ที่ปีนี้ก็ก่อตั้งมาได้ 3 ปีแล้ว I GEAR GEEK ถือได้ว่าเป็นสตาร์ทอัพตัวหนึ่งที่เกิดจากการที่คุณเซ็ตไปรวมตัวกับ Founder อีกหลายๆท่านที่อยากจะทำ software house และ start up โดยตัวตนของ I GEAR GEEK จะเป็นซอฟต์แวร์เฮ้าท์ก่อนแล้วในขณะเดียวกันก็ทำโปรเจ็คสตาร์ทอัพของตัวเองไปด้วย แต่ต้องบอกว่างานของบริษัทซอฟต์แวร์เฮ้าท์นั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจ เพราะหลายๆคนอาจจะมองว่าแค่เอาโปรแกรมเมอร์มารวมๆกันและเขียนโปรแกรมให้ลูกค้าก็เสร็จแล้ว แต่ที่จริงแล้วมันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก
ต่ายรู้จักกับน้องเซ็ตมาได้สักพักแล้ว ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนที่งาน Tech on The Rock ที่รวบรวมสตาร์ทอัพต่างๆมาเจอกัน ตอนนั้นเพิ่งรู้ว่าเชียงใหม่มีซอฟต์แวร์เฮ้าท์ด้วย และจังหวะมันตรงกันพอดีต่ายเลยได้ติดต่อกันไว้ว่าอยากสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองสำหรับร้านค้าต่างๆ (ตอนนี้ออกมาแล้วนะครับ สามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ครับ Busy Rabbit Platform) แต่วันนี้เราได้มานั่งคุยกันเกี่ยวกับตัวธุรกิจที่น้องทำว่าเป็นไปเป็นมายังไงและความท้าทายของมันตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำมีอะไรบ้าง
“ตอนแรกที่เราได้มาคุยกัน เราคุยกันเกี่ยวกับการทำสตาร์ทอัพ ผลิตภัณฑ์(Product) การทำนวัตกรรม(Innovation) ที่จะสร้างรายได้แต่พอเรามาดูเรื่องของ cost การที่เราจะทำสตาร์ทอัพมันก็ต้องมีทั้งทีม การตลาด โปรแกรมเมอร์และเงินทุน ถ้าเราเปิดบริษัทสตาร์ทอัพเราก็ต้องเป็นบริษัทที่ไม่มีรายได้ไปอีก 2 ปีเป็นอย่างต่ำ เราก็เลยมองว่าเราตั้งตัวเองเป็นซอฟต์แวร์เฮ้าท์ก่อน แต่ว่าระหว่างที่เราพัฒนางานของลูกค้า เราก็สร้างโปรดักส์บางอย่างจากความสามารถของทีมงานเราไปด้วย เราก็ทำซอฟต์แวร์เฮ้าส์แต่ก็มีโปรดักส์ที่สร้างขึ้นมาสองสามตัวแล้วนะครับ แต่ว่ารายได้มันก็ยังไม่ได้เติบโตมากเหมือนบริษัทสตาร์ทอัพใหญ่ๆ เพราะว่าการที่จะทำให้โปรดักส์เราเติบโตได้เร็วมันคือต้นทุนทั้งหมด”
Software House คืออะไร
“มันก็คือบริษัทที่รับพัฒนา Software ต่างๆทั้งหมดบนโลกนี้ได้หมดเลย เช่นเว็บไซต์ แอพริเคชั่น ไลน์แอปหรือทุกอย่างที่เป็น Business Solution ที่จะมาตอบโจทย์ขององค์กรนั้นๆ”
ก่อนจะมาเป็น I GEAR GEEK น้องเซ็ตทำอะไร
“จริงๆแล้วผมเป็นคนเชียงราย อยู่โรงเรียนประจำมา 6 ปี พอจบ ม.6 ปุ๊บก็จบๆว่าจะไปสายไหน บางคนก็หมอ บางคนก็บัญชี เราก็เลยมองว่าตอนนั้นเราชอบเล่นเกมไปสาย IT ดีกว่า ไม่ได้คิดเลยว่าจบมาจะเป็นโปรแกรมเมอร์เพราะตลาดยังไม่ดัง”
“ถ้าย้อนกลับไปในยุคนั้นโปรแกรมเมอร์ยังไม่เป็นที่รู้จักเลย ตอนนั้นผมใช้อีเมล chaiyo อ่ะ”
คุณเซ็ตตัดสินใจไปเรียนที่เทคโนโลยีสุรนารี โดยเป็นการติดผ่านระบบโคตา คุณเซ็ตเล่าว่าไม่อยากไปหาที่อื่นแล้ว อีกอย่างตัวเองก็เป็นเด็กที่ผลการเรียนไม่ได้สูงมาก ที่ตรงนี้คุณเซ็ตได้เรียนเทคโนโลยีสารสนเทศ การเขียนโปรแกรมและก็ออกแบบโครงสร้าง Basic Pragraming จากนั้นถึงเริ่มทำงานประจำ
“ยังไงตอนนั้นเราก็ต้องเดินตามการศึกษาที่ทุกคนต้องจบมหาลัยก่อนถึงจะเริ่มทำงาน”
งานประจำงานแรกที่ทำคืออะไรและมีบทเรียนอะไรบ้าง?
“ผมเริ่มมารู้จักตัวเองตอนปี 3 หลักสูตรของผมจบ 3 ปีครึ่งเนาะ ตอนนั้นผมก็รู้ว่าตัวเองเราทำได้ดีที่สุดคือโปรแกรมเมอร์ ตอนที่ทำโปรเจคค์ ตอนนั้นที่บ้านผมทำธุรกิจอาหารและโรงแรม ผมเลยมองว่าผมจะทำตัวนี้ไปให้ที่บ้านใช้ แล้วก็ไปลองใช้ มันก็ใช้ได้ดีด้วยใช้อยู่ปีสองปี ผมเรียนจบก็เลยยังไม่ได้หางานทันที ผมทำงานกับที่บ้านเพื่อทำระบบนี้ เขาก็จ่ายให้เดือนละหมื่นสองหมื่นมาปีหนึ่ง”
“พอทำกับที่บ้านมาผมก็รู้สึกว่าผมไม่ได้เรียนรู้เพิ่มเติมเพราะว่าอันนี้มันเกิดจากการที่ผมพัฒนาจากโปรเจคค์ก็เลยขอที่บ้านว่าจะของานใหม่ ตอนแรกเขาก็ให้มาหาที่เชียงใหม่กับเชียงรายนี่แหละ แต่ตลาดงานตอนนั้นมันน้อยมากเลย แต่ผมก็ไปทำที่หนึ่งนะที่เชียงราย เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เงินเดือน 9,000 แล้วก็โดนหักนู้นนี่นั่น ผมก็คิดละว่าถ้าเงินเดือนแค่นี้ผมคงไม่เหลือใช้อะไร ละตอนนั้นผมก็เห็นว่าตลาดงานที่กรุงเทพเงินเดือน 18,000 บาท ผมก็ถือว่ามันสูงมากเลย เราก็ไปสมัครและเราก็ไปที่กรุงเทพ”
“ผมทำงานที่บริษัทหนึ่งตรงนั้นเขาเป็น outsource IBM แค่ปีเดียว จากนั้นก็ไปที่บริษัท ThiNKNET ผมรู้สึกว่าบริษัทเขาดูเป็นคนรุ่นใหม่ ดูมีโต๊ะพลู มีสวัสดิการอะไรงี้ก็เลยสมัครดูแล้วก็ผ่านการคัดเลือก”
การสัมภาษณ์งานยากไหม
“ไม่ได้ยากถ้ามีประสบการณ์ ก็ส่ง Resume ไป อย่าง ThiNKNET ถ้าไปถึงเราต้องนั่งทำโจทย์ มีเวลา 2 ชั่วโมงแล้วก็เขียนโค้ดสดตรงนั้นเลย จากนั้นก็สัมภาษณ์ประสบการณ์ ตอนนั้นผมก็เหมือนได้ขยับไปสู่องค์กรที่โตขึ้น มีทีมโปรแกรมเมอร์ จากที่ที่ทำงานเก่ามีทีมแค่สองคน”
“ผมมักจะท้าทายตัวเองโดยการพยายามทำให้ตัวเองได้โปรโมตตำแหน่ง ตอนนั้นก็ตำแหน่งขึ้นปีต่อปีเลย จากจูเนียร์เป็นซีเนียร์เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ ผมอยู่ที่นั่นมาประมาณ 4-5 ปี”
“ตอนแรกผมก็เริ่มทำ landing page จากนั้นผมก็เริ่มทำระบบภายในจัดการข้อมูลด้านใน ตอนที่ผมอยู่ปีสุดท้ายมีโปรแกรมเมอร์ประมาณ 60-70 คน ตอนแรกผมทำ UI จนสุดท้ายไป Back office”
สิ่งที่เราเรียนรู้จากการทำงานที่นี่
“สิ่งที่ผมรู้ว่าผมเริ่มไปแล้วได้มีโอกาสได้ดูแลทีม ผมมองว่า 1. ผมได้จัดการการทำงานของตัวเอง ที่เราต้องมี commitment ให้กับหัวหน้างานว่าเวลาเราประเมินหรือฟีเจอร์ที่เราบอกว่าจะเสร็จในอีกกี่วันข้างหน้า ผมจะทำให้ได้ดีที่สุด ผมจะไม่ทำงานแบบว่ารับ A ทำแค่ A ผมจะช่วยคิดเผื่อว่าเขาอยากได้แบบนี้แล้วเขาใช้งานโอเคหรือเปล่า ถ้าเราคิดเผื่อเขาจะไม่ใช่คนอื่นมา และผมเป็นคนที่เต็มที่ต่อทีม และผมรับฟีคแบคทุกอย่าง อะไรผมก็เอามาปรับเอามาคิดต่อ เพื่อต่อยอดตัวเองไปเรื่อยๆ”
ตอนนั้นเรายังไม่เคยเจอลูกค้าโดยตรงใช่ไหม มีไหมที่ต้องไปเจอลูกค้าโดยตรง
“ถ้าเป็นฝั่ง Engineeing ทั้งในองค์กร ส่วนใหญ่เรามอง stakeholder ที่คือระดับผู้บริหารหรือแผนกมาร์เก็ตติ้ง อันนี้ผมจะเจอโดยตรงเขาก็จะบอกว่ามี ABC อะไร เราก็จะเสนอ Solution แนะนำไป”
“มันเคยมีประมาณว่าบางครั้งการทำโปรดัสก์หรืออะไรหลายๆอย่างมันจะต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา มันจะมีช่วงที่คนในทีมรู้สึกว่าทำไมมันเปลี่ยนอีกแล้ว จนทำให้ทุกคนเริ่มหมดไฟว่าทำไมสิ่งที่เขาทำขึ้นมาวันนี้ถึงไม่ถูกใช้งาน ความท้าทายก็คือเราต้องพยายามอธิบายที่มาที่ไป เราก็เลยต้องบอกเขาว่าเปลี่ยนอันนี้เพราะอะไร บางครั้งพัฒนามา 6-7 เดือนแล้วได้ไม่ได้ใช้งานมันเป็นเพราะแบบนี้”
“ตอนที่ทำแบบ Waterfall ปัญหาส่วนใหญ่ที่ทำไปก็ทำแล้วไม่ได้ใช้เพราะว่ามันก้อนมันใหญ่เกินไป บัคเยอะ เทสเตอร์ต้องเทสแมนนวลเยอะมาก”
v
“ก่อนจะมาทำ I GEAR GEEK ผมเคยทำ Start up กับเพื่อนมาก่อน เป็นจุดที่เพื่อนผมมาชวนให้กลับมาเชียงใหม่และให้เรามาช่วยดูฝั่งออนไลน์มาร์เก็ตติ้งและเทคโนโลยี ตอนนั้นผมกำลังได้โปรโมตเป็น Supervisor เลย เป็นจุดที่ผมแฮปปี้ทุกอย่าง แต่ผมก็ต้องเลือกว่าจะเป็นพนักงานบริษัทเหมือนเดิมหรือว่าจะเอาความรู้ทั้งหมดออกมา ไปทำในอีกตัวหนึ่งแล้วเติบโต ตอนนั้นเงินเดือนก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ระหว่างนั้นผมก็มีธุรกิจที่ขายของออนไลน์อยู่ก็เลยไม่อะไรมากกับตัวเงินเดือน เพราะว่าเป็นช่วงอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโต ผมขายของออนไลน์ได้เยอะกว่าเงินเดือนอีก ผมก็เลยลาออกมาแล้วมาอยู่เชียงใหม่”
“ผมทำบริษัทกับเพื่อนมาประมาณปีหนึ่ง ผมก็รู้สึกว่ามันน่าจะไม่ใช่ทางเราละ เช่นว่าเรื่องของความเข้าใจในฝั่ง Business และ Technology อาจจะไม่เข้าใจกัน แต่เราไม่ได้ทดสอบกับคนที่จะใช้ก่อน ตอนนั้นเป็นเว็บทำตุ๊กตา เราไม่รู้ว่าลูกค้าต้องการจริงๆหรือเปล่า และสุดท้ายก็คิดว่ามันไม่ใช่ทาง ผมก็ตัดสินใจว่าจะกลับกรุงเทพ”
“ตอนนั้นผมมีโอกาสได้เจอ ThiNKNET ผมก็คุยกับเขา แล้วเขาก็ชักชวนเปิดสาขาที่เชียงใหม่ ผมก็เลยโอเค ไปอยู่ในองค์ไอทีอาจจะแฮปปี้กว่า ความท้าทายของผมก็คือการที่เราจะสร้างทีมในเชียงใหม่จากคนในเชียงใหม่ ผมบอกกับผู้บริหารว่าคนเชียงใหม่หรือภาคเหนือเก่งหลายๆด้านอยู่แล้ว เราก็เลยคิดว่าถ้าเรามีโอกาสให้น้องๆในภาคเหนือได้มาทำงานกับบริษัทต้นๆของประเทศไทย และได้มีวิธีการทำงานที่ค่อนข้างท้าทายในสเกลใหญ่ๆได้”
“เป้าหมายปีแรกเราตั้งใจหา 20 คน โดยคนที่มาสมัครส่วนใหญ่ก็คนเชียงใหม่หมดเลย แล้วผมก็ทำประมาณ 2 ปีแล้วก็ถึงจุดอิ่มตัว ตอนนั้นเราไม่ได้เขียนโค้ดแต่เราบริหาร มีหลายแผนก แต่เรารับงานในโมดูลบางตัวจากที่อื่นมา แล้วก็เอามาทำที่เชียงใหม่ ตอนนั้นทีมโตเกือบยี่สิบกว่าคนในหลายแผนกแล้วผมก็เริ่มอิ่มตัว เริ่มคิดว่าอยากไปทำอะไรดี”
อะไรคือสิ่งที่ทำให้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจของตัวเอง
“ตอนนั้นผมก็คิดถึง I GEAR GEEK มันเป็นชื่อบริษัทที่ผมจดไว้เมื่อสองปีก่อน ตอนทำสตาร์ทอัพ ตอนนั้นผมขาย Gadgets ออนไลน์แล้วมันรุ่งเรืองมากผมก็เลยคิดว่าผมอยากดีลมันเข้าบริษัทที่ขายเป็นโวลุมเยอะๆแต่มันต้องออก VAT และมีใบเสร็จชัดเจน เราเลยไปจดบริษัททิ้งไว้ ก็เลยมีบริษัทนั้นอ่ะ ที่จดทิ้งไว้อยู่ 2-3 ปีที่ไม่ได้ทำอะไรและไม่มีรายได้ แต่พอดีผมไปปรึกษานักบัญชี ผมก็เลยคิดว่าเอ๊ะ หรือเราไปลองทำสตาร์ทอัพเป็นซอฟต์แวร์เฮ้าท์ดี ผมก็เลยไปหารุ่นพี่ที่ผมรู้จักไปปรึกษาเขาว่าอยากทำซอฟต์แวร์เฮ้า แต่ผมไม่ได้มีเงินทุนอะไร ผมอยากจะเติบโต”
“พี่ที่เคยทำงานร่วมกันก็โอเค ถ้าอยากจะทำเราก็โอเค เขาเห็นศักยภาพเรา เขาก็สนับสนุนเรา ก็เลยลาออกมาเปิด I GEAR GEEK จริงแล้วออฟฟิศอยู่ที่นิมมานประมาณ 12 ตารางเมตร ตอนนั้นมีแค่ 2 คนและมีน้องที่รับเข้ามาอีก 1 เป็น 3 คน”
จำงานแรกที่ได้รับได้ไหม?
“งานแรกคือมีรุ่นพี่ที่ผมเคยทำงานด้วย เขาเปิดบริษัทแล้วเขาทำเป็นเซอร์วิสให้กับบริษัทใหญ่ๆ เป็นเรื่อง Job Managment งานแรกผมประเมินกันไม่ถูกเลย ตอนแรกผมประเมินไป 5-6 หมื่น ใช้เวลาทำไป 2-3 เดือน ก็คือเราไม่รู้เลยว่าที่เราทำนั้นราคาถูกมาก ขาดทุนไป”
“ตอนนั้นเราก็เริ่มคิดแล้วว่าการประเมินราคามันต้องมีส่วนอื่นๆประกอบด้วย ค่าเช่า ค่าเงินเดือนหรือค่าดูแล เราก็เลยเริ่มสเต็ปมาขึ้นแสนละ แต่ลูกค้าบางคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องของความยากง่ายในการพัฒนา ส่วนใหญ่จะเป็นเว็บไซต์ เราก็มาอธิบายว่ามันมีแบบสำเร็จและเริ่มจากศูนย์”
การเปลี่ยนแปลงที่ตอนนี้ต้องทำเชิงธุรกิจมากขึ้น
“ตอนแรกเราไม่ได้เรียนรู้นะ ฝั่งผมเป็น Business Analysis กึ่งๆเซลล์ด้วยที่พยายามจะคุยกับลูกค้าใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงกว่าเขาจะเข้าใจ ส่วนใหญ่ผมจะพยายามยกตัวอย่างให้เห็นว่าแต่ละวิธีการมีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไงใช้ตัวสำเร็จรูป มันมีข้อดียังไง ข้อเสียยังไง พัฒนามาใหม่มันเป็นยังไง เขาก็กลับไปคิดละว่าธุรกิจเขาบางทีสเกลมันไม่ต้องใหญ่ก็ได้ แค่เป็นเว็บไซต์โปรโมตก็ได้”
“ผมจะเปรียบเทียบว่าการทำซอฟต์แวต์เหมือนการสร้างบ้านหนึ่งหลัง ทีมผมต้องเริ่มตั้งแต่มีสถาปนิก มีแบบ มีแปลน มีวิศวกรมาจัดการเรื่องของเสา บ้านจะต่อกี่ชั้น จะอยู่กี่คน จะมีลูกไหม มีคนแก่ไหม เราก็จะยกตัวเองอย่างแบบนี้ เขาก็จะเริ่มเข้าใจ”
“บางทีเขาบอกว่าอยากได้เว็บเหมือนเว็บอีคอมเมิร์ซเลย เราก็จะบอกเขาเว็บแบบนั้นเนี่ยมันจะต้องมีหลายอย่างมากนะ หน้าบ้านที่ทุกคนเห็นแค่การซื้อขาย แต่ความจริงต้องมีแอดมิน มีการโอเปเรชั่น มีระบบหลังบ้านให้ผู้ซื้อและผู้ขายอีก เราก็จะเน้นอธิบาย”
การแข่งขันแย่งชิงพนักงานจากพื้นที่
“ถ้าถามว่าทำยังไงในการดึง Talent กลับมา พอเราได้มาทำบริษัทแล้วมุมมองของเราจะกลับกันกับตอนที่เราเป็นพนักงานเลย ผมก็จะว่างไว้เลยว่าโอกาสของคนที่จะลาออกอยู่ที่ 2-3 ปี เพราะฉะนั้นการสร้างบริษัทเราต้องรู้ว่าจะต้องมีคนลาออกตลอดแน่ๆ ผมก็มองว่าเราจะให้อะไรเขาในช่วงที่เขาอยู่ อย่างเช่นว่าใน I GEAR GEEK ผมจะเน้นเรื่องการเรียนรู้ให้พนักงานทุกคนเลย คนที่เข้ามาอยู่จะได้ทำงานในหลายๆสเกล คุณจะคิดเองได้ ถ้าโปรแกรมเมอร์ต้องการหาคำตอบพี่ๆซีเนียร์หรือคนที่มีประสบการณ์จะไม่ค่อยลงไปทำให้ แต่จะให้เป็น Keyword ให้เขาไปหาเอง เพื่อให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง และระบบการทำงานที่นี่ผมพยายามทำระบบโดยการเอารูปแบบการทำงานดีๆจากทั่วโลกมาปรับใช้ให้เป็น Process ของที่นี่ให้ดีที่สุด”
“เราพยายามให้คนภายในองค์กรได้ทั้งเรียนรู้ ได้ทั้งเพื่อนในองค์กรและได้เจอลูกค้าและงานยากๆ เพื่อให้ทุกคนมีประสบการณ์ เราพยายามมองว่าถ้าน้องออกไปแล้ว แล้วเขาเห็นว่าน้องมาจาก I GEAR GEEK ทุกคนจะอ้าแขนรับน้องของเราได้อย่างเต็มใจ”
โปรเจ็คหินที่ทำยังไงก็ไม่จบ หรือ ประเมินพลาด
“ผมมองว่าพวกส่วนใหญ่มันหินอยู่แล้ว การที่ลูกค้าจะมาจ้างมันต้องไม่มีอะไรที่สำเร็จในโลกแล้ว เขาจะมีแค่ไอเดียมาสิ่งที่เราจะเอามาทำส่วนใหญ่จะเป็นแค่ know how ที่เรามีตอนแรกกับความเข้าใจในธุรกิจของลูกค้าแต่พอเราได้ทำมา สักเดือนสองเดือนเราจะเข้าใจ สิ่งที่เราพัฒนาทั้งหมดให้ลูกค้ามันจบอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าเราจะทำยังไงให้เขาเข้าใจว่าถ้าเขาต้องการเพิ่มมันจะต้องประเมินเพิ่มเติมหรือเปล่า”
“ระบบโรงพยาบาลหินที่สุดคือเรื่องการลงทะเบียนของโรงพยาบาลเพราะข้อมูลเยอะ ข้อมูลของผู้ป่วยต้องเก็บเป็นความลับและเป็นมาตราฐานและต้องลิ้งก์กับระบบเก่าที่ใหญ่มาก มันหินตรงที่ว่าเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับฐานของมูลเลย เราต้องไปอ่านดาต้าเบสเป็นพันดาต้าเบส เพื่อให้เข้าใจ ไม่มีอะไรเลยมีแค่ฐานข้อมูล แก้ตรงไหนไปกระทบกับตรงไหน นั่งวิเคราะห์ฐานข้อมูลก็เดือนสองเดือนแล้ว แต่สุดท้ายโรงพยาบาลได้ใช้จริงๆมันก็ดีขึ้น ก่อนหน้านี้ระบบที่เขามีมันไม่สามารถใช้ผ่านมือถือได้ แต่เราไปอุด pain point ให้เขาสามารถใช้ที่ไหนก็ได้”
“เราจะไม่รับงานอะไรก็ได้ เราจะคัดงานที่ท้าทายคนในองค์กรด้วย เราต้องรับงานที่ทุกคนแฮปปี้และลูกค้าก็จะแฮปปี้”
“ตอนนี้ในทีมมีทั้งหมด 12-13 คน เมื่อก่อนถ้าเยอะจะเป็นเด็กฝึกงาน จริงๆผมรับทุกแบบ UX UI Admin Graphic เราอยากให้น้องได้เรียนรู้งานจริงๆ เราย้อนกลับไปว่าตอนที่ผมฝึกงาน ผมก็ได้ทำงานจริงกับรุ่นพี่ ติดตรงไหนพี่ก็แนะนำ เราก็เอามาปรับปรุงและพัฒนาต่อ ตอนนี้เราก็เลยอยากให้น้องได้อะไรจริงๆ”
โปรเจคที่ตัวเองทำอยู่
“โปรดักส์ที่ทำมาระหว่างปีสองปีนี้คือเบอร์ดูดี มันมาจากทั้งน้องในออฟฟิศด้วยและตัวผมด้วย ตอนนั้นเราอยากจะหาเบอร์สวยๆแต่เราพยายามหาในกูเกิ้ลแล้วไม่ค่อยเจอประกอบกับที่เราชอบ SEO เราก็เลยลองหา Traffic Search”
** SEO การทำให้เว็บของเราติดหน้าแรกในกูเกิ้ล Search Engine Optimization
“เบอร์มงคลมันมีคนเสิร์ชเยอะนะ เราก็เลยเห็นโอกาสแล้วทราฟิกมันน่าสนใจตรงที่คนค้นหาเดือนหนึ่งแตะล้าน มันเหมือนเป็นช่องว่างทางธุรกิจผมก็เลยเกิดไอเดีย”
“เบอร์ดูดีก็ติดอันดับ 1 ใน 5 ของกูเกิ้ล เหมือนคนเข้าไปดูว่าเบอร์ตัวเองเนี่ยดีหรือเปล่าด้วย จริงๆฟีเจอร์เนี่ยก็เกิดจากการที่ผมไปดูฟีคแบคมาว่าเขาอยากเจออะไร เพราะว่าเวอร์ชั่นแรกผมจะมีแค่ระบบ Matching ร้านมาหาเบอร์และลูกค้า แต่พอเราเจอคนอยากรู้คำทำนายเบอร์ของตัวเองก่อนจะเปลี่ยน เราก็เลยเพิ่มฟีเจอร์ทำนายเบอร์เข้ามา”
“ผมเคยเห็นคนที่ขายเบอร์แพงสุดสองล้าน”
“พวกตัวเลขคำทำนายเหมือนเรากระโดดมาอีกวงการหนึ่ง วิธีการของผมก็คือผมมีน้องที่ไปขอคำปรึกษามาจากทั้งหมอดูและซื้อหนังสือเรื่องเบอร์ เรื่องศาตร์ของเบอร์ พอเราได้ข้อมูลมาก็เอามาคิดทำอัลกอริทึมและหยอดคำออกไป เพื่อให้คนมาค้นหาได้เจอสิ่งที่ตัวเองต้องการ”
“คนส่วนใหญ่เขาก็จะมาหาเบอร์ที่เสริมเรื่องการเงิน”
ตอนนี้เกือบจะ 3 ปีแล้ว พอใจกับสิ่งที่ทำไหม
“ผมคิดว่ามันมาไกลกว่าที่เราคิด ตอนแรกเราก็คิดว่าน้องที่เก่งๆอยากจะร่วมกับเราหรือเปล่า พออยู่มาเรื่อยๆเราก็เห็นว่าทุกคนรู้จักและอยากจะมาร่วมงาน ลูกค้าก็อยากจะให้เราพัฒนาบางอย่างให้ อีกทั้งเราก็มีลูกค้าใหญ่ๆที่ไว้ใจและพัฒนาร่วมอยู่ เราเลยเห็นว่าศักยภาพของทีมเราไปได้ไกลมาก”
“สเต็ปต่อไปน่าจะเป็นความท้าทายของผมคือ I GEAR GEEK สำหรับผม มันไม่ใช่ของผม มันเป็นกลุ่มคนหรือทุกคนที่คนมาอยู่ก็จะได้ทำงานให้องค์กร สุดท้ายผมคิดว่าผมไม่ควรจะต้องมานั่งทำงานละ ผมก็อยากจะไปหา connection ไปอย่างอื่นโดยที่ I GEAR GEEK ก็ไปต่อได้ โดยที่เรามองว่าเรื่องของทั้งสวัสดิการ ผลตอบแทนที่องค์กรจะมีให้คน ควรจะมีได้อีก — อยากเป็นองค์กรใหญ่ระดับประเทศเป็น Vision ของเราเลย”
ถ้ามีคนอยากเป็นโปรแกรมเมอร์จะแนะนำยังไง
“ถ้าแนะนำให้น้องๆที่กำลังมองว่าตัวเองจบมาจะไปเวย์ไหน ผมแนะนำให้น้องๆหลายๆคนว่าทุกคนควรทำกับบริษัทที่จะใหญ่หรือไม่ใหญ่ก็ได้ แต่ต้องเจอกับประสบการณ์จริง จะ I GEAR GEEK ก็ได้หรือที่อื่นก็ได้ อยู่สักปีสองปีเพื่อจะได้เห็นการทำงานที่เป็นระบบ เรื่องของทีมที่มี UX UI การมีพี่มาคอยคุย คอยให้คำแนะนำ จริงๆมันอยู่ที่คนนะ แต่ถ้าเราได้เรียนรู้จากการทำงานจริงมันจะทำให้เราได้เรียนรู้จากการทำงานจริงมันจะดีกว่า”
ทั้งหมดที่เราทำมาจนถึงตอนนี้อุปสรรคใหญ่ที่สุดคืออะไร
“อุปสรรคโดยรวมคือการพัฒนาคน วันแรกผมกล้าๆกลัวๆนะว่าจะรับงานใหญ่ได้แค่ไหนเพราะเราไม่รู้ว่า น้องจะทำจากที่เราคาดหวังได้หรือเปล่า ปีแรกผมมองว่าผมพัฒนาคน ทีมและ Process ในการทำงานให้ชัดเจนเลย เราเลยรู้ว่ามันไม่ใช่ปัญหาแล้วคนเข้าใหม่ คนออกใหม่ หางานนี่ก็ยากว่าเราจะรู้จักลูกค้าได้ยังไงและเราจะอยู่กับเขาไปอีก 6 เดือนหรือ 1 ปียังไง บางคนเราคุยกันรู้เรื่อง แต่พอทำไปอาจจะไม่ถูกคอแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะทำยังไง แต่ส่วนตัวแล้วผมยังไม่เจอ เพราะว่าเรามองว่าการพูดคุยคือทางออกที่ดีที่สุด พอเราจะมองต่ออีกสเต็ปคือผมตั้งโมเดลไว้เลยว่าจะรับงานระดับ enterprise ให้ได้เยอะที่สุด เพื่อน้องทุกคนจะต้องสามารถไปทำงานองค์กรใหญ่ได้ทั้งหมด แล้วก็ได้ไป pitch มีการ Interview Team Company เราก็ผ่านมาหมด สเต็ปต่อไปก็ต้องมองไปถึงการจัดการงานต่างๆที่มา ปีนี้ยังไงผมก็ต้องได้กำไรที่เป็นเป้าหมายของเรา”
ช่องทางติดต่อ
เว็บไซต์ : https://www.igeargeek.com/
เฟซบุ๊คแฟนเพจ : I GEAR GEEK
ไลน์ไอดี : @igeargeek
เบอร์โทรศัพท์ : 089 892 9555