Barefoot : ร้านพาสต้าเส้นสดที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านอาหารและวัตถุดิบในท้องถิ่น
ครั้งแรกที่ต่ายพบกับน้องเอิน – สาธิตา สลับแสง คือเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน ที่จำได้แม่นเลยก็เพราะว่าภาพของ Facebook เพิ่งขึ้นมาแจ้งเตือนความจำไม่นานมานี้เอง ตอนนั้นต่ายเพิ่งเปิดบริษัทช่วงแรก ๆ และได้ยินเรื่องราวของร้าน Barefoot พอดี เลยสนใจว่าอยากไปลองนั่งคุย จำได้ว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็ทักทายคุยกันเสมอ ครั้งนี้ต่ายมีโอกาสได้วนเวียนกลับมาเจอน้องเอินอีกครั้งหลังจากผ่านมรสุมมามากมาย ร้านพาสต้าเส้นสดแห่งนี้ย้ายร้านใหม่มาอยู่ที่เวิ้งเหล็กแดง และขยับขยายจากแค่ร้านเล็ก ๆ ที่มีไม่กี่ที่นั่งจนมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นหลายสิบที่นั่ง เปิดคลาสสอนทำอาหาร แบบเป็นกลุ่มและยังไม่พอยังทำคลาสสอนออนไลน์อีกด้วย
“7 ปียังไม่เจ๊งค่ะ”
น้องเอินหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเล่าให้ฟังว่าล้มลุกคุกคลานมาเยอะ ประสบการณ์ก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วย

น้องเอินเติบโตที่เชียงใหม่ จบคณะมนุษยศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษ วิธีการเลือกมหาลัยของน้องเอินตอนนั้นก็เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไปที่ดูคะแนนสอบว่าคะแนนวิชาไหนเยอะก็ไปเรียนตัวนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่น้องเอินรู้ตัวว่ามีมากกว่าคนอื่นๆก็คือ
“ชอบขายของค่ะ ชอบเห็นหน้าเวลาลูกค้าฟินเวลาที่ได้รับของ จริง ๆ ของที่เริ่มขายตอนแรกเลยคือ สคส. แม่ก็จะพาขับรถไปที่ลำพูนไปซื้อมาอันละ 2.50 บาท เอามาขาย 3.50 บาท แต่ไม่ได้นับค่าน้ำมันนะ เหมือนลูกชอบขาย แม่ก็สนับสนุน”
“เราชอบขายของชอบมีปฏิสัมพันธ์กับคน”
- ตอน ม.ปลาย จะมีช่วงหนึ่งที่ฮิตขายพายบลูเบอร์รี่
“ตอนนั้นเราก็สนุกมาก เพราะเราชอบทำ ตอนนั้นอยู่ที่โรงเรียน เราก็จะบอกเพื่อน ๆ ว่าวันจันทร์มีพายบลูเบอร์รี่ 20 อันนะ ใครเอาบ้าง แล้วเพื่อน ๆ ก็จะบอกต่อห้องอื่น ก็จะมีครูบ้าง เพื่อนบ้าง รุ่นพี่บ้าง มาจองคิวซื้อ”
น้องเอินเริ่มขายอาหารตั้งแต่โรงเรียน และพอเข้ามหาวิทยาลัยมาก็ยังไม่เลิกขาย ตอนนั้นก็จะมีการรับพรีออเดอร์ ซึ่งเมนูที่ขายดี ๆ ช่วงนั้นคือลาซานญ่า น้องเอินขายผ่านโซเชียลมีเดียรุ่นแรก ๆ อย่าง Hi5 (ใครยังจำได้บ้าง)
“ตอนนั้นเขาก็จะรู้ว่าเอินคือคนที่ขายลาซานญ่า”
เหตุผลที่ตอนนั้นคุณเอินเลือกที่จะขายลาซานญ่าเป็นเพราะว่าเป็นของที่เข้าถึงคนง่าย ไม่ซ้ำกับใคร บริเวณร้านอาหารใกล้ ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่งอยู่แล้ว
“ตอนนั้นไม่อยากทำธุรกิจแบบแข่งขันเราอยากจะขายแบบช่วยเหลือกัน ถ้าเราไม่มีก็จะแนะนำให้ไปตรงนั้นหรือไม่มีตรงนั้นก็มาเอาตรงนี้ได้”

ต่อมาก็ไปทำงานประจำ ทำได้วันหนึ่งก็ไม่ทำต่อ (หัวเราะ!) และไปเป็นผู้ช่วยศิลปินได้ปีกว่า ระหว่างนั้นคุณเอินก็มีโอกาสได้ไปเดินทางแบคแพคตามสถานที่ต่าง ๆ ที่สนใจ โดยเอาเงินจากการที่ทำขนมทั้งปีมาใช้ในการท่องเที่ยว
“ประเทศที่เราอยากไปส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ค่าใช้จ่ายสูง เราก็เลยหาทางว่าทำยังไงดี เพื่อให้ได้ไปที่นั่นแล้วได้เรียนรู้มากที่สุด เราก็ได้ไปเจอโครงการหนึ่งที่ทำให้เราได้เป็น Volunteer ได้ไปอยู่ที่คาเฟ่ อยู่ในฟาร์ม ซึ่งมันก็ตรงกับความชอบเขาเราทุกอย่างทั้ง ประหยัด ได้เรียนรู้และรู้จักวัฒนธรรมเชิงท้องถิ่น ผ่านวัฒนธรรมอาหารและเกษตรด้วย”
ตอนไปก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นการเดินทางเพื่อสะสมประสบการณ์ ครั้งหนึ่งก็ได้ไปอยู่กับเกษตรกรที่ทำชีส ได้รีดนมเอง ได้ทำอะไรๆเองกับมือ
“ที่ที่เราไปอยู่ไม่ได้อาบน้ำ 10 วัน เพราะฝนตกแล้วน้ำก็เหมือนคูเมืองตอนนี้อ่ะ เป็นชาเย็น ท่อน้ำก็แตก แพะเขาก็ตายมีหมาป่ามากินอะไรอย่างงี้ มันเหมือนเราอยู่ในหนัง”
ช่วงนั้นสั่งสมประสบการณ์เดินทางประมาณ 4 ปี จนกระทั่งมาเปิดร้าน Barefoot ตอนปี 2014 ตรงหมู่บ้านเพนกวินบนเส้นคันคลอง
“ตอนแรกมันจะเหมือนเป็นบ้านให้เช่าละก็มีนักศึกษามาเช่า มันเป็นเวิ้งที่มีบ้านหลังเล็กๆติดๆกัน”
จุดเริ่มต้นของร้านพาสต้าเส้นสดที่เรียกว่า Barefoot หรือเท้าเปล่า

“Barefoot เริ่มจากตอนที่เราเข้าไปในบ้านครั้งแรกแล้วก็เข้าไปซ่อมแซมบ้าน จากโจทย์ที่เราได้เราก็นึกถึงบ้านหลังเล็กมีพื้นที่เล็ก ๆ เรานึกถึงการเป็นครัวเปิด และซูชิบาร์
ทีนี้เราก็นึกถึงสิ่งที่เราอยากสื่อสารด้วย นั่นก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านอาหารและวัตถุดิบในท้องถิ่น เพราะจริงๆแล้วเราก็เป็นคนเชียงใหม่ที่โตที่นี่ แต่ว่าเราถูกเลี้ยงมาเหมือนคนในเมือง พวกผักพื้นบ้านเราก็ยังไม่ค่อยรู้
พอเราออกมาข้างนอก เรากลับมามองบ้านเรา แล้วก็รู้สึกว่าของบ้านเรา เรายังไม่รู้จักเลยทำไมต้องไปตื่นเต้น ตื่นตากับสิ่งที่เราไปเจอ”
“เราคิดว่าถ้าเราเล่าเรื่องเชียงใหม่ในมุมของเรา บวกกับเอาวัตถุดิบท้องถิ่นมาเป็นสัญญะในการเล่าเรื่องมันน่าจะน่ารักดี น่าจะง่ายกับการย่อย”
ซึ่งก็กลายเป็นต้นกำเนิดของไอเดียในการเลือกวัตถุดิบมาประกอบอาหารในร้าน Barefoot น้องเอินเล่าว่า รับอาหารมาจากเกษตกรที่ปลูกในพื้นที่ ผักที่ปลูกในพื้นที่ ชีส ไข่ ต่าง ๆ ทุกอย่างที่สามารถหยิบมาทำได้ น้องเอินจะเอามารังสรรค์ให้เกิดเป็นเมนูที่แปลกใหม่และน่าสนใจเสมอ

“เราจะเอาวัตถุดิบที่ได้มาทำเป็นเมนูฝรั่ง พวกคอมฟอร์ตฟู้ดแล้วก็จริงๆโชคดีด้วยที่เชียงใหม่เรามีผู้ประกอบการ ผู้ผลิตค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นพวกชีสพวกเนย เราก็หาที่ทำในเชียงใหม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นจังหวัดอื่นก็อาจจะเป็นไปได้ยาก”
“เรามีทั้งผู้ประกอบการที่พร้อมจะขายให้เราและผู้บริโภคที่พร้อมจะเข้ามาลอง ความเป็นเชียงใหม่ทำให้เราอยู่รอดมาได้เจ็ดปีนี้”
แล้วที่มาของชื่อร้าน Barefoot ที่ว่าด้วยการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ?
“Barefoot หมายถึงเท้าเปล่า การไม่ใส่รองเท้าอีกนัยหนึ่งก็คือการได้รับรู้ถึงพลังงาน พื้นสัมผัสเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อถึงสิ่งนั้นได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องมีอะไรมากั้น มันต้องมีคอนเซ็ปต์ร้านที่เป็นครัวเปิด”
“ไปจนถึงการที่เราสามารถเชื่อมผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยเราสามารถเล่าถึงที่มาของวัตถุดิบที่เราใช้ปรุง ที่คุณเห็นได้ เราสามารถย้อนกลับไปได้หมดว่าอะไรมาจากไหน และสามารถบอกฟีคแบคจากลูกค้าได้ด้วย”

“ตอนนั้นก็กังวลและตื่นเต้น มันเป็นเหมือนกับหลุมที่เราไม่รู้เลย เราไม่เคยเข้าไปในการจัดการ การดูค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตอนเด็กเราก็จะคิดว่าเราถนัดภาษาเรื่องอื่นเราก็อาจจะไม่อยากสนใจหรอก คือเราไปทำอย่างอื่นเราก็ไม่รู้ แต่พออันนี้มันเป็นเจ้าของแล้ว เราก็เลยต้องทำทุกอย่างทั้งคำนวน ทั้งออกแบบ ทั้งออกไอเดีย การติดต่อกับลูกค้า ไปจนถึงการล้างห้องน้ำ การล้างจาน เราก็เลยรู้สึกว่า เออ มันก็เครียดนะ มันก็กังวล แต่ทุกอย่างก็อยู่ที่การตัดสินใจของเราล้วนเลย”
“จำได้ว่าวันแรกที่เปิด ลูกค้ากลุ่มแรกมาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่เข้ามารีวิวในหมู่บ้านเพนกวิน ตอนนั้นเรายังไม่มีสินค้าอะไรเลยยยยยย มีแค่คำเขียนประกอบไว้ว่า “มีพาสต้าเส้นสด”
แล้วลูกค้ากลุ่มแรกก็เข้ามา – ซึ่งลูกค้ากลุ่มแรกเขาก็ยังเป็นลูกค้าเราอยู่นะคะ – ตอนนั้นเขาก็เดินมาอย่างมั่นใจมาถึงล็อคสุดท้ายที่ร้่นเรา เขาก็บอกว่าเห็นในหนังสือค่ะ นี่เป็นวันเปิดร้านวันแรกใช่ไหมคะ”
“ความรู้สึกตอนได้เจอลูกค้าครั้งแรก เราก็พร้อม ร้านก็เหมือนเวทีของเรา เราก็แบบว่าโอเคค่ะ พร้อมแสดงค่ะ”
“เมนูแรกที่ทำ ช่วงแรกจะมีแค่สามเมนู ลาซานญ่า พาสต้าครีมซอส และลาซานญ่า ครัมซอสโบลองเนส”
ด้วยความที่อาหารต้องทำสดใหม่ตลอด และเส้นเองก็เป็นเส้นสดที่ใช้เวลานาน รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และความอร่อยที่ใครมาก็ต้องติดใจ คนก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ
“เราเริ่มเกรงใจที่เขาต้องรอนาน ตอนนั้นลูกค้าก็ค่อนข้างเข้าใจ มีทั้งที่ตามรีวิวมาและถ้าตามรีวิวเขาก็จะมาด้วยความคาดหวังว่าจะเป็น Chef Table แต่เราจะบอกตลอดว่าเราไม่ใช่นะ เราก็เรียนมาจาก Google,Youtube, ฟัง Feedback”
“จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังพร้อมรับคำติชมแล้วก็เอามาปรับอยู่เรื่อยๆ”
“เอินก็เปิดร้านไปปิดร้านไป เอินมีวันหยุดอาทิตย์ละครั้ง ช่วงหนึ่งมีความรู้สึกเบิร์นเอ้าท์ ก่อนจะมีน้องๆมาช่วย เราเปิดประมาณ 6 วันจะมีปิดยาวบ้างช่วง Low Season เราก็จะไปหาแรงบันดาลใจ เช่น ไปเดินทางต่อ”

“มีไปสอนคลาสน้อง ๆ ที่ไต้หวัน ทำอาหารระหว่างที่เดินทางด้วยเพราะไหน ๆ เราก็ไปแล้ว เราก็เลยลอง เขาให้โอกาสเราก็พร้อม ตอนนั้นเราก็เอาวัตถุดิบของเขาแล้วเราก็มีวัตถุดิบของเราบางส่วน ก็สอนเขาทำพาสต้ากับไทยเดรสซิ่งซึ่งเป็นยำ”
แต่แน่นอนว่าการทำธุรกิจของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ต้องดูแลทั้งด้านธุรกิจ สร้างโปรโมชัน ทำบัญชีนู้นี่นั้นหลายอย่าง ซึ่งพอทำไปนาน ๆ ก็อาจจะเกิดอาการเบิร์นเอ้าท์ หรือ หมดไฟในการทำงานได้เช่นกัน
“อยู่ดีๆก็ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าต้องไปทำงานไหมอ่ะ ตอนนั้นเราทำยังไง อย่างแรกเลยก็คือเราหยุดไม่ได้ วิธีการรักษาตัวเองของเราคือการลองหาเมนูใหม่ ๆ เช่น การมีเมนู seasonal เข้ามาเพื่อกระตุ้นตัวเอง หาความรู้เพิ่มเติม ไป workshop บ้าง และฟังมากขึ้นหลังจากที่เราพูดมาเยอะ เราออกไปหาความรู้เพิ่ม อาจจะแค่ต่างสถานที่ต่างจังหวัด ไปลองอาหารคนอื่น มันก็ช่วยทุเลาอาการพวกนี้ได้บ้าง”
“ลูกค้าประจำเขาก็จะกินเมนูเดิมๆ อย่างบางทีเราก็จะสร้างอีเว้นท์ เช่นการกิน dine in the dark เพื่อให้ออกจากนอกคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง นอกจากการจะได้ลองอะไรใหม่ๆแล้วมันยังเป็นการที่เราได้รู้สึกถึงอาหารที่เรากินมากขึ้น การใช้ประสาทสัมผัสและการรับรู้ มีการทำความเข้าใจคนที่เขามองไม่เห็นได้วย”
“สิ่งที่เสิร์ฟมันจะเป็นอาหารที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว บางคนก็จะงงว่าอันนี้คืออะไร เราเคยกินตอนเด็กนะ แต่มันคืออะไร อย่างผักชี ฟักทอง”
อีเว้นท์และการได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ เหมือนเป็นการจุดไฟให้กับตัวเองอีกครั้ง ทำให้การเบิร์นเอ้าท์มันผ่านพ้นไปได้ พออยู่ตรงนั้น (หมู่บ้านเพนกวิน) ได้ประมาณ 3-4 ปี ก็มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนร้านค้ากันเข้ามา
ในที่สุด ก็ถึงตาเราที่ต้องหาที่ใหม่บ้าง ด้วยหลาย ๆ ปัจจัย
“มันคือทางแยกว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงทำต่อ ตอนนั้นมันเหมือนต้องชั่งน้ำหนักดูว่าจะสร้างต่อหรือจะไปทำให้คนอื่น สกิลที่เรามีจริงๆไปเป็นพนักงานที่อื่นก็ดีนะเพราะเราทำให้นายจ้างแฮปปี้ เราทุ่ม เราทำได้ดีแน่ ๆ หรือว่าเราจะสร้างสิ่งที่เราทำมาต่อไป และเหตุผลที่เลือกทำต่อก็คือตอนที่เรามองย้อนกลับมา”
“กิจการเป็นลูกน้อยของเรา เราก็อยากเลี้ยงเขาไปต่อ ทำให้เขาเจริญเติบโต แล้วอีกอย่างก็คือผู้ประกอบการที่เขาใช้บริการเรา มันก็ผลักดันให้เราไปต่อเพื่อให้ชุมชนตรงนี้มันเติบโตไปด้วยกันได้”
“เรารู้สึกว่าถ้าเลิกตอนนั้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว มันก็ตั้ง 4 ปีแล้วนะ เราคิดว่ารากฐาน 4 ปีตรงนี้มันก็ยังมั่นคง”
ก็เลยเอากับมันอีกสักตั้ง แล้วก็เริ่มหาโลเคชั่นใหม่ให้กับร้าน
“โพสต์ถามในเฟซบุ๊คเลยค่ะ เราก็บอกว่าเราอยากย้ายร้านมีที่ตรงไหนได้บ้าง ก็มีพี่คนหนึ่งเขาบอกว่ามีที่ตรงนี้ เราก็เลยลองเอามาก็ได้”
“แล้วเราก็เข้ามาเปิดด้านนี้ ขอแถบนี้แล้วเราก็สร้างเอง เซ็นสัญญาปุ๊บก็โควิดพอดีเลย” (หัวเราะ!)
“อย่างหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือโต๊ะเยอะขึ้น มีเค้าเตอร์บาร์แล้วก็มีคอร์สสอนออนไลน์และออฟไลน์”
“ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าเป็นคนไทยค่ะ ก่อนหน้านั้นจะเป็น 50:50 มีนักท่องเที่ยวและมีคนไทย ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย คนเอเชีย ถ้าเป็นฝรั่งจ๋าเลยเขาจะมาอยู่ในคลาสเรามากกว่าเพราะเราจะสอนเป็นพาสต้าเส้นสดและสอนทำน้ำพริกด้วย”
หน้าที่อย่างหนึ่งของเจ้าของธุรกิจคือการช่วยผลักดันให้น้อง ๆ ที่ทำงานด้วยนั้นกระตือรือร้นและอยากเรียนรู้
“หนูคิดว่ามันจะต้องเป็นทั้งการเรียนเพิ่มเติมของเขาเองและการให้อิสระ และก็เรื่องเงิน ของหนูเราจะมีฟูลไทม์และพาร์ทไทม์ เราจะมีโบนัสให้ตามยอดรายรับของเราเป็นขั้นบันได เมื่อมันอยู่ถึงตรงกลางที่เราอยู่ได้แล้ว เราถึงจะมีเป็นโบนัสให้ เราเคยทำทั้งหมดมาก่อน เราก็จะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าเหนื่อย ก็จะมีเรื่องเงินเนาะที่จับต้องได้ ต่อมาก็เป็นเรื่องของอิสระภาพ เราจะพยายามโน้มน้าวน้อง ๆ ในร้านว่าให้ลองกินของในร้าน เพื่อให้น้องได้รู้จักวัตถุดิบ เพื่อน้องจะได้อธิบายลูกค้าจะได้ เราให้อิสระน้องในการครีเอตเมนูได้เองด้วย บางทีน้องเขาก็จะมาชวนเราทำแล้วถ้าเราชิมแล้วรู้สึกว่ามันเวิร์ค เราก็จะชวนน้องทำเป็นเมนูเดือนหน้า มีการเมนชั่นว่าเป็นไอเดียของน้องคนนี้ หรือว่าอะไรประมาณนี้”
“มันจะเป็นเรื่องที่เขาต้องการที่จะพัฒนาและคุยกันเองกับเพื่อนในทีม ลองชิมลองทำ บางทีก็พาไป outing ด้วยกัน พาไปดูบริการ พาไปลองชิมของคนอื่นเพื่อให้น้องเขาได้เห็นอีกมุมหนึ่ง อย่างปกติเขาอยู่ด้านในเคาเตอร์กัน เราก็ลองมาเป็นคนที่อยู่ด้านนอกกัน”
อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดตลอด 7 ปี
“อุปสรรคภายในก็คือเรื่องนี้แหละค่ะเรื่องเบิร์นเอาท์ เรื่องทำต่อไม่ทำต่อ มันก็มีความรู้สึกที่แย่อยู่เหมือนกัน ตอนโควิดมาเราก็ต้องทำเดลิเวอร์รี่แต่อาหารเราทำแล้วต้องกินเลยทันทีและหลักๆคือเราขายประสบการณ์”
“ตอนนั้นเราก็คิดเยอะว่าจะทำยังไงช่วงแรกเราก็มีไลฟ์ มีส่งเดลิเวอร์รี่เองด้วย ก็ต้องสู้ไปก่อนเพราะเราไม่อาจจะพึ่งพาสถานการณ์ได้เลย สิ่งที่กังวลที่สุดคือรายจ่ายที่เราต้องจ่ายทุกเดือน”
ซึ่งโควิดเองก็ทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ ค่อนข้างลำบาก
“ต่อมาเชียงใหม่ก็เริ่มกลับมาเปิดก็พอจะกลับมาได้อยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจากนั้นก็มีสถานการณ์ระบาดอีกคนก็กลับไปกลับมา แล้วพอช่วงสงกรานต์ก็ระบาดอีกครั้ง เรายังรู้สึกว่าโชคดีนะที่เราไม่ได้พึ่งพานักท่องเที่ยวขนาดนั้น”
“เราก็ค่อยๆเติบโตไปกับมัน เราก็เริ่มต้นมาจากศูนย์เพราะฉะนั้นเราจะหยุดก็ไม่ได้ เราต้องไปต่อด้วยความที่ทุนและความรู้จำกัดมันเลยทำให้เราเปิดใจกว้างมาก ๆ มันทำให้เราต้องเอาตัวรอด หาเวย์ให้ธุรกิจของเราอยู่รอดให้ได้”
“ถ้ามองจากข้างนอกอาจจะคิดว่าคอยนับเงิน คอยทำอาหารแต่สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้มาคือเราต้องหาความรู้เพิ่มรอบตัว อัพเดทสกิลและข่าวสารต่างๆ มีแนวคิดการเป็นผู้ประกอบการที่ดี ผู้นำที่ดี อะไรต่างๆมากมายที่เราต้องคอยพัฒนา เอินก็เลยพยายามที่จะฟังพอร์ดแคส เข้าคอร์สนู้นนี่ จนถึงขั้นเอากระดาษมากางแล้วเขียนว่าเรามีอะไรบ้าง แล้วเรามาแตกว่าเราเขียนเป็นแพลน ABCD ยังไงได้บ้าง”
ถ้าโควิดหายมีแพลนยังไงบ้าง
“จริงๆหนูก็อยากให้ไซต์นี้ใหญ่ที่สุดที่ barefoot ควรจะเป็น แต่ก็อยากให้ตรงนี้เป็นโมเดลว่าถ้าเชียงใหม่ทำได้ที่อื่นก็ต้องทำได้ เท่าที่คุยมาก็จะมีน้องที่เป็นลูกค้า เขาก็ไปเปิดร้านที่หาดใหญ่เขาก็พูดตลอดว่า ผมเอาธีมของร้านพี่นี่แหละเป็นหลัก และผมอยากพิสูจน์ให้คนแถวนั้นรู้ว่าผมทำได้ ผมใช้นั่นนี่จากตรงนู้นตรงนี้ ผมก็ทำไปด้วย พูดไปด้วย เหมือนเขารีมายด์ความทรงจำตอนที่เขามากินที่ร้าน เขาอยากถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกเดียวกันกับที่ร้านเรา”

“ถ้าจะให้เปิดที่อื่นเราก็อาจจะไม่ได้มีความสามารถมากพอขนาดนั้น อาจจะแค่เป็นที่ปรึกษา บางคนเขาก็อยากให้เราไปเป็นที่ปรึกษา แต่เราก็พร้อมที่จะให้อยู่แล้ว เราก็ไม่ได้จะมองว่าเราเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในการเป็นเจ้าของธุรกิจในโมเดลแบบนี้ เรามองในมุมว่าถ้าเราไปเที่ยวที่จังหวัดไหนเราก็จะอยากกินที่มันสามารถเป็นจุดตรงกลางเชื่อมระหว่าง globalization และ localization อยากเห็นคนรุ่นใหม่นำเสนอวัตถุดิบท้องถิ่น ที่เอามาผสมกับไอเดียต่างๆ โดยที่สิ่งเหล่านั้นมันไม่จำเป็นต้องเข้าถึงยาก ไม่ว่าจะเป็นรสชาติบรรยากาศหรือว่าราคา”
มุมมองคิดว่าเชียงใหม่เป็นเมืองปราบเซียนไหม
“ใครคือเซียน — ” หัวเราะ “ถ้าเราไม่ถือว่าตัวเองเป็นเซียน เราก็ไม่ต้องปราบ มันขึ้นอยู่กับว่าเราให้คำจำกัดความว่ายังไง”

ช่องทางติดต่อร้าน
เฟซบุ๊คแฟนเพจ : barefoot cafe
เบอร์โทรศัพท์ : 083 564 7107
แผนที่ : https://g.page/barefootchiangmai?share