สิ่งสำคัญคือวินัย เพราะแรงบันดาลใจไม่กี่วันก็หมด : “เบิร์ด – บุญส่ง วงค์เนตร” จากเด็กหนุ่มผู้เพียบพร้อม สู่การผจญภัยต่อสู้ชีวิตแบบไร้กระบวนท่าที่ไม่มีคำว่าสวยหรู
ต่ายกับเบิร์ดเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันที่สมัยโรงเรียนเก่า ตอนนั้นจำได้ว่าน้องเป็นเด็กหนุ่มอัธยาสัยดี พูดเก่ง เข้ากับคนได้ง่าย เป็นนักกีฬาบาสเกตบอล ตัวสูง ขาว ตี๋ ครอบครัวมีฐานะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสาวๆที่มาล้อมหน้าล้อมหลัง หัวกะไดไม่แห้ง ใช้คำนี้อธิบายได้เต็มปาก พูดอีกอย่างคือน้องมีชีวิตที่ค่อนข้างเพียบพร้อมเลยก็ว่าได้
แต่หลังจากต่ายเรียนจบมัธยมปลาย ต่างคนก็ต่างแยกย้าย เราก็ไม่เคยได้ติดต่อกันอีกเลย…ผ่านมาสิบกว่าปี จนกระทั่งเมื่อประมาณก่อนโควิดระลอกแรก น้องทักมาหาจำได้ว่าเป็นเรื่องแอพออกกำลังกาย ตอนนั้นจำได้เลยว่าน้องเป็น Personal Fitness Trainer หรือที่เราเรียกกันว่าเทรนเนอร์นั้นแหละครับ งานค่อนข้างมั่นคงดี มีคนมาเทรนด้วยตลอด แต่ก่อนหน้านั้นก็ทำหลายอย่าง แต่เราก็ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดกันมากเท่าไหร่ในวันนั้น
จนกระทั่ง…โควิดมา ระลอกแรก…ยิมปิด ทุกอย่างปิดหมด แน่นอนว่างานของเบิร์ดก็ถูกกระทบไปด้วย สักพักยิมกลับมาเปิดแต่คนที่เทรนไม่กลับมาด้วย เอาหล่ะสิ…
แต่เบิร์ดไม่อยู่นิ่งครับ เขาพยายามหาช่องทางใหม่ๆ หางานใหม่ อาชีพใหม่ที่ตัวเองทำได้แล้วก็ลงมือทำทันที นี่คือสิ่งที่น้องเบิร์ดเป็น เขาเป็นคนที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรค ถ้าเปรียบก็เหมือนมวยวัดที่ไม่มีพิธีรีตรองอะไรมาก ใช้ทุกอย่างที่ตัวเองมีและพยายามสู้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มที่
คุณเบิร์ด หรือปกติต่ายเรียกว่าน้องเบิร์ดเพราะรู้จักกันมานานแล้ว มีชื่อจริงว่า “บุญส่ง วงค์เนตร” แนะนำตัวเองว่าเป็น Profression Trainer, Personal Fitness Trainer ไกด์นำเที่ยว และอาชีพล่าสุดของเขา “พ่อค้าทุเรียนและผลไม้พรีเมี่ยม”
น้องเบิร์ดเล่าให้ต่ายฟังว่าตอนเป็นเด็กไม่ค่อยตั้งใจเรียน ใช้คำว่า ‘เกเร’ ในการเล่าถึงตัวเองในอดีต เป็นวัยรุ่นที่หน้าตาดีคนหนึ่ง มีโอกาสเข้าประกวดดัชชี่บอย ทำให้ได้รับการทาบทามให้ไปอยู่ในค่ายโมเดลลิ่งค่ายหนึ่งแต่ด้วยความที่วุฒิภาวะยังไม่ถึง บางทีรับงานมาก็ไม่ไป เบี้ยวงานจนกลายเป็นนิสัย สุดท้ายทางค่ายก็บอกไม่ไหวแล้ว เขาเองก็ไม่ได้แคร์ เพราะคิดว่ากลับมาที่เชียงใหม่ ครอบครัวก็สบายอยู่แล้วจะไปคิดอะไร แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ตอนเป็นเด็กน้องเบิร์ดโตมากับคุณยายในครอบครัวที่เรียกได้ว่ามีฐานะครอบครัวหนึ่งเลยครับ แต่วันหนึ่งวิกฤตเศรษฐกิจเข้ามา ตอนนี้ธุรกิจที่บ้านเริ่มมีปัญหาหลายอย่าง และคุณยายที่เป็นเพียงที่พึ่งพิงเดียวของชีวิตก็มาจากไป จนสุดท้ายเบิร์ดก็เลยต้องตัดสินใจออกจากบ้าน เพื่อมาเผชิญโชคชะตาด้วยตัวเอง ที่บ้านให้เงินติดตัวมาก้อนเล็กๆก้อนหนึ่ง และด้วยนิสัยที่ใช้เงินมือเติบมาตลอด เงินก้อนนั้นแทบจะเรียกได้ว่าละลายหายไปในไม่กี่วันด้วยซ้ำ นี่คือวิกฤติแรกที่เกิดขึ้นกับชีวิต
น้องเบิร์ดเล่าย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาตอนที่ออกจากบ้านในช่วงวัยยี่สิบต้นๆพร้อมแววตาเศร้าๆ
แรงบันดาลใจในตอนนั้นคือการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะพวกหนังสือชุดสร้างแรงบันดาลใจ ช่วงชีวิตตอนนั้นก็ระหกระเหินมากๆ ถ้าจะเรียกว่าร่อนเร่ก็คงไม่ผิดอะไรนัก ต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ เพราะมีบริษัทเกี่ยวกับความสวยความงามที่หนึ่งติดต่อเข้ามา เป็นคอนเนคชั่นช่วงเป็นนายแบบสมัยก่อน ช่วงนั้นเบิร์ดไม่มีเงินติดตัวสักบาท ไปอยู่โรงแรมนั้นที โรงแรมนี้ที เข้าพักก่อนและระหว่างนั้นก็หาเงินมาจ่าย ส่วนใหญ่ก็คือวันสุดท้าย แต่เงินมันก็ขาด จนวันหนึ่งเขาถูกไล่ออกจากโรงแรมที่พักอยู่เพราะค้างค่าห้อง จากนั้นพอผ่านช่วงฝึกงานก็เริ่มมีเงินเดือนเข้ามาบ้าง
ผมได้ไปทำงานที่สาขาต่างประเทศอยู่เกือบ 2 ปี ตอนนั้นไฟแรงมาก สาขาไหนยอดตกเบิร์ดก็พยายามติดต่อบอกให้เขาลองอย่างนั้น อย่างนี้ไหม แต่กลายเป็นว่าเบิร์ดถูกเรียกให้เขาพบ เพราะด้วยหน้าที่เราตอนนั้นและการที่เราไปแนะนำแบบนั้นมันเหมือนจะเป็นการข้ามหัวคนอื่นไปหน่อย สุดท้ายเบิร์ดก็ถูกเรียกเข้าไปพบหัวหน้าใหญ่ คุยกันถึงประเด็นนี้ แต่เขาก็ไม่สบายใจ เราก็เลยขอลาออก
ชีวิตก็เหมือนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นใหม่ กลับมาเชียงใหม่ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร ก็บังเอิญได้เจอกับคนรู้จักคนหนึ่ง เขากำลังหาคนมาทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์ เขาทำคอนโดอยู่และกำลังหาคนขายให้ ตอนนั้นเบิร์ดก็รู้สึกว่าเข้าทางเลย เพราะกำลังสนใจเรื่องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์พอดี
คอนโดมี 45 ห้อง เบิร์ดขายเองเกือบ 30 ห้อง ตอนนั้นเขาก็มีให้พารุ่นน้องมาช่วยเบิร์ดขายด้วย แต่เขาทำไปสักพักเขาก็ลาออก อาจจะเพราะเขาไม่ได้มีแรงขับเคลื่อนเหมือนเบิร์ดในตอนนั้น สุดท้ายก็ทำเองหมด ทั้งล้างห้องนำ้ ทั้งขาย ทั้งการตลาด ทั้งจัดห้อง show room ให้ลูกค้ามาดู
พอทำตรงนี้ได้สักพัก คุณเบิร์ดก็หางานทำเพิ่ม หลับตีสองตื่นหกโมง — “พอเป็นสองกะปุ๊บเบิร์ดเริ่มไม่ไหว งีบหลับที่ทำงานบ้าง ไม่งั้นมันเหนื่อยจริงๆ แต่สุดท้ายก็ต้องออกอีกเพราะมีคนมาชวนไปขายน้ำมันนวดสมุนไพร เขาบอกเบิร์ดว่านี่คือโปรเจคท์เถ้าแก่น้อย ตอนนั้นเขาก็มาแนะนำตัวน้ำมันว่าเป็นสูตรมาจากวัดเส้าหลิน เป็นน้ำมันสมุนไพรที่พระเขาใช้ แล้วก็สอนเรากดเส้น เบิร์ดก็ทำ”
แต่ก็เหมือนวนลูปนรก โดนเขาหลอกอีก
น้องเบิร์ดเริ่มมองในมุมของเวรกรรมว่าที่ตัวเองทำงานหนักแต่ว่ายังไม่ประสบความสำเร็จนี่อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ตอบแทนคุณแม่
“เบิร์ด เกลียดแม่ตั้งแต่เด็กเพราะว่าเราได้ยินมาว่าแม่เป็นคนไม่ดี ตอนนั้นเบิร์ดก็คิดละว่าที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะตรงนี้หรือเปล่า เพราะเราไม่กตัญญูหรือเปล่า เพราะตอนนั้นเราก็ทำทุกอย่างเต็มที่ แต่พระพุทธเจ้าสอนให้เรากตัญญูนะ อาจเป็นเพราะเราไม่กตัญญูหรือเปล่า ตอนนั้นเบิร์ดก็เลยคิดว่าไปบวชขอขมาแม่ดีกว่า”
“ตอบบวชให้แม่ตั้งใจบวชจริงจังมาก เพราะคิดว่าเราต้องหลุดจากกรรมตรงนี้ให้ได้ เบิร์ดเกือบจะไม่สึกละ ตอนนั้นเราได้อยู่กับตัวเองก็ได้คิดว่าควรจะปฎิบัติกับมารดายังไง ก่อนหน้านี้ไม่เคยคุยกับแม่ดีเลย ก็เริ่มโทรหาแม่มากขึ้น ไม่เคยบอกรักก็บอกรัก พอสักพักแม่ก็เสีย — ตอนที่ยายที่เลี้ยงเบิร์ดมาตั้งแต่เด็กเสีย เบิร์ดไม่ได้มีโอกาสดูแลคุณยายดีมากเท่าไหร่ แต่ตอนคุณแม่เสียเบิร์ดใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเต็มที่เลย เบิร์ดก็เปิดคลิปธรรมะให้ฟัง เขาบอกว่าจิตสุดท้ายของมนุษย์น่ะถ้าไม่ตกที่ไหนก็จะได้เกิดตรงนั้น เราก็พยายามเปิดธรรมะให้แม่ฟัง เพราะว่าอยากให้แม่ไปเกิดในภพภูมิที่ดี”
คุณเบิร์ดเล่าให้ต่ายฟังว่าแนวคิดต่างๆได้มาจากการบวชและสึกออกมา คุณแม่ก็เสียชีวิตพอดี ตอนนั้นเบิร์ดก็กลับไปอยู่กรุงเทพละ พอกลับมาก็ยังไม่รู้จะทำอะไร ก็กลับมาขายน้ำมันนวดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาติดต่อไปยังแบรนด์ที่เป็นของต้นตำรับเองและลองจริงจังกับมันเลย
“ทีนี้น้ำมันนวดมันไม่ใช่ตัวเดิมละ ตัวเดิมของเบิร์ดมันเป็นของที่ลอกเลียนมา เบิร์ดก็เลยโทรหาเจ้าของตัวจริง เจ้าแรกว่าเรื่องมันเป็นยังงี้ๆ แล้วก็ถามเขาว่าเรื่องมันเป็นยังไง — แล้วเบิร์ดก็ขอเอาของเขามาขาย แล้วก็เริ่มออกขายตามตลาดนัด ตอนนั้นก็ขายดีด้วยครับ”
แม่ค้าพ่อค้าที่ตลาดนัดก็ใจดี ด้วยความอัธยาศัยดี ชวนให้คุณเบิร์ดมาขายด้วยแล้วทำให้เริ่มมีรายได้จากการขายน้ำมันนวดในตอนนั้น
“เคยขายชั่วโมงหนึ่งได้หมื่นกว่าบาท ตรงอโศก บางวันไปครึ่งชั่วโมงก็ขายได้ 4-5 พัน ตอนนั้นก็เริ่มเก็บเงินไปเรียนเทรนเนอร์ จากนั้นก็เริ่มสอนฟรี และเวลาที่เราไปขายของตามตลาดนัดคนก็เริ่มเห็นว่าเราหุ่นดี เขาก็ถามว่าน้องทำอะไร ผมก็บอกว่าผมมีอาชีพเป็นเทรนเนอร์ด้วย”
น้องเบิร์ดเล่ามาถึงตรงนี้ต่ายก็ตื่นเต้นมากครับ เพราะชีวิตผ่านเรื่องราวอะไรมาเยอะแยะและมากมายเหลือเกิน ภาพที่เราเห็นว่าคุณเบิร์ดเป็นคนหุ่นดี ขายทุเรียนเป็นไกด์นำเที่ยวเป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งที่คนภายนอกเห็นเท่านั้น อุปสรรคต่างๆที่เขาเผชิญมาต่างหากที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้ได้
“ครอบครัวเบิร์ดตอนนี้เขาก็ลำบากกันหมดเลย เพราะสวนส้มเจ๊งและเราก็เกเรด้วย เราทิ้งโอกาสไปเยอะมาก ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เบิร์ดก็จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น และจะทำเหมือนเดิมครึ่งหนึ่ง — อันนี้เบิร์ดจะขัดกับริชาร์ด แบรนสันที่เขาบอกว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็จะทำทุกอย่างเหมือนเดิม”
“ตอนนั้นเบิร์ดก็ขายยานวดกับเป็นเทรนเนอร์ ตี 5 ตื่นก็จะไปขายน้ำมันนวดและไปเป็นเทรนเนอร์”
น้องเบิร์ดเล่าให้ต่ายฟังว่านิสัยการออกกำลังกายและตื่นเช้าได้มาจาก Robert Toru Kiyosaki ที่บอกว่าคนประสบความสำเร็จจะตื่นเช้าบวกกับนิสัยที่ชอบเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก
“เบิร์ดอ่านหนังสือแล้วทำตามหลายเล่มมาก ทั้งตื่นเช้า จัดบ้านทุกอย่างให้เป็นระเบียบ เบิร์ดพยายามจะปลูกฝังนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ทำงานที่แรกแล้ว ตอนนั้นเบิร์ดเข้างาน 8 โมงเช้า ตอนตี 5 ก็จะตื่นมาวิ่ง ตอนนั้นเบิร์ดอยู่ที่ลาวครับ”
“เบิร์ดตั้งเป้าหมายใหม่จากที่อยากจะประสบความสำเร็จสักอย่างให้ได้ เป็นอยากทำให้ยายภูมิใจให้ได้แทน แม้กระทั่งเขาไม่อยู่ตรงนี้แล้ว เขาอยู่ข้างบนเขาดูเรา เบิร์ดเริ่มมีเป้าหมายทางนามธรรมที่ไม่ใช่แค่ทรัพย์สินละ”
ต่อมาเบิร์ดก็ได้มาเจอเพื่อนสนิทที่สนิทกันมากๆ แล้วเราก็ทักทายกันก็ได้คุยกันตอนนั้นเพื่อนคุณเบิร์ดก็ชวนคุณเบิร์ดมาอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ โดยจ้างให้คุณเบิร์ดเทรนให้
“เบิร์ดก็เลยโอเค ด้วยความที่คิดถึงเพื่อนและต้องการที่พักแป๊บนึงเพราะว่าเหนื่อยจากการสู้ชีวิต อยากพักหายใจบ้างก็เลยหาลูกเทรนเพิ่ม แล้วก็ย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ตอนนั้นก็อยู่เชียงใหม่ก็เป็นเทรนเนอร์กับนักวิ่งมานานเลย”
ชีวิตเริ่มดีขึ้น เหมือนว่าการเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวจะกลายเป็นอาชีพหลักที่เบิร์ดสามารถทำได้แบบไม่ขัดสน เป็นหนึ่งในเทรนเนอร์ที่ประสบความสำเร็จมากพอสมควร ช่วงนั้นก็มีลูกเทรนด์เยอะมาก แต่พอมีโควิดลูกเทรนด์ก็หายไปหมด หลังจากโควิดระลอกแรกผ่านไปคนที่จะเทรนก็เหลือน้อยลงมากๆ
“ช่วงนั้นยังมีเงินเก็บก็เลยนิ่งๆอยู่ — ตอนนั้นก็คาดสถานการณ์ไม่ถึงด้วย คิดว่ามันจะแป๊บเดียว แต่มันก็ไม่ได้แป๊บเดียว พอรอบแรก 14 วันเขาก็ให้เปิด แต่ลูกเทรนก็ไม่กลับมา ตอนนั้นก็ยังใช้เงินเก็บต่อ”
“แต่พอมารอบที่ 2 เงินเก็บจะหมดละ ก็มองเห็นว่าตัวเองมีอะไรบ้างก็เห็นว่ามีรถคันหนึ่ง ตอนนั้นก็คิดถึงที่คุณยายเคยเล่าให้ฟังว่าขับรถพาคนเที่ยวน่ะ เงินดีนะ เบิร์ดก็เลยลองแล้วก็เกิดโปรเจค ‘คนขับหล่อ’ ตอนนั้นก็มีน้องสนใจก็มาทำด้วย ตอนแรกที่คิดก็อยู่ว่าจะรอดไหม ไม่คิดว่าจะปัง แต่อ้าวปังเฉยเลยนะ คนแชร์กันเยอะ แล้วก็มีคนจองคิว รอบสองได้โปรเจคคนขับหล่อมาก็พออยู่ได้ มีคนจองเกือบทั้งปีเลย”
เพจ ‘คนขับหล่อ’ ก็จะเป็นกลุ่มคนขับรถนำเที่ยวที่ดังมากกลุ่มหนึ่ง เน้นเรื่องของความสะอาด ปลอดภัย และแน่นอนตามคอนเซ็ปท์คือคนขับหน้าตาดี มีซิ๊กแพคทุกคน เบิร์ดเล่าให้ต่ายฟังว่าถึงตอนนี้ก็ยังมีคนจองเข้ามาอยู่ช่วงปลายๆปี
“ตอนแรกไม่มีที่ให้ไปขายทุเรียนก็เลยขายออนไลน์”
คุณเบิร์ดเล่าให้ต่ายฟังว่าวันแรกที่เริ่มยังทุลักทุเลอยู่เลยเพราะว่าพึ่งเรียนรู้มา หนามทุเรียนปักเต็มมือ
“พอทำผมก็นึกถึงแนวคิดสิ่งแวดล้อมเลยเกิดเป็นแนวคิดชะลอม เครื่องสานมาใช้สำหรับทุเรียนด้วย ไม่คิดว่ามันจะปัง ก็ปัง เบิร์ดเอามาเกือบร้อยโลก็หมดเกลี้ยง ทำเอง ส่งเอง มือเป็นแผลหมดเลย จนตอนนี้ทุเรียนเริ่มล้นตลาดละ เบิร์ดก็เลยต้องปรับตัวว่าจะทำผลไม้พรีเมี่ยมต่อยอด”
เบิร์ดคือคนที่ไม่หยุดนิ่ง เป็นคนที่พยายามต่อยอดและไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น คุณเบิร์ดเล่าให้ต่ายฟังว่าเรื่องเทรนเนอร์เรื่องการเป็นเทรนเนอร์ก็ยังคิดอยากที่จะทำอยู่ แต่ก็เข้าใจในสถานการณ์และเห็นว่าสองปีแล้วก็ยังไม่ฟื้น คุณเบิร์ดเลยต้องพยายามอยู่กับสิ่งรอบตัวที่ตอนนี้ตัวเองทำได้
“ในหัวของเบิร์ดมีเป้าหมายอยู่แค่อยากให้ยายภูมิใจและอยากจะสบาย ซึ่งอยากสบายนี่เป็นเป้าหมายหยาบเลย ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ผลักเบิร์ดมาตลอด”
“อีกความฝันหนึ่ง เบิร์ดอยากทำบ้านพักคนชรา เพราะตอนคุณยายเสียไม่ค่อยได้ดูแลคุณยายเต็มที่นัก มันเป็นความรู้สึกผิดต่อคุณยายมาก”
น้องเบิร์ดเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่อยู่นิ่ง ล้มแล้วลุก ล้มแล้วไปต่อ อุปสรรคมาทางไหนก็พยายามปรับให้ตัวเองอยู่รอดได้ น้องเบิร์ดเปรียบตัวเองเป็นเหมือนแมลงที่บินชนกำแพงแล้วก็ไปหาทางอื่นเอา คือตราบใดที่ยังไม่ตายก็จะยังบินต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ต่ายว่าเบิร์ดเป็นมากกว่านั้น เบิร์ดเป็นคนที่ใช้วินัยในการดำเนินชีวิต ทุกวันยังตื่นตีสี่ตีห้าเพื่อลุกไปวิ่งเข้าป่า วิ่งได้ทั้งวัน วิ่งโดยไม่ใส่หูฟัง ไม่ต้องมีเสียงดนตรี มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออก เสียงธรรมชาติ ลม ฝน ใบไม้ใบหญ้า และฝีเท้าของตัวเองเป็นเพื่อน
นั้นสิครับ เพลงที่บรรเลงอยู่ อาจจะเปรียบเหมือนจังหวะของชีวิต อาชีพการงาน หรือสิ่งต่างๆรอบๆตัวที่กำลังไปได้ดี แล้วถ้าวันหนึ่งมันหยุดเล่นขึ้นมาหล่ะ? คุณมีทางเลือกว่าจะหยุดหรือยังวิ่งต่อ สำหรับน้องเบิร์ดต่ายเชื่อว่าเขาจะยังคงลุกขึ้นมาวิ่งทุกวัน แม้จะล้มกี่ครั้ง แม้ว่าเพลงเหล่านั้นจะหยุดเล่นไปแล้วก็ตาม
ติดต่อน้องเบิร์ดได้ที่ : facebook